สรุปสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้
หลักการแปลวรรณกรรม
ในการเรียนรู้ครั้งนี้ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องหลักการแปลวรรณกรรม
ซึ่งถือว่าเป็นศาสตร์หนึ่งที่ยากพอสมควรเนื่องจากคำศัพท์ที่ใช้จะแตกต่างจากคำศัพท์ปกติ
และการที่จะมาแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ได้นั้นผู้แปลก็จะต้องมีความเข้าใจความหมายของภาษาต้นฉบับเสียก่อน
ปละศึกษาความหมายของคำศัพท์นั้นเมื่อเรารู้ความหมายแล้วเราก็สามารถเลือกใช้คำศัพท์ได้ถูกต้อง
การแปลเนื้อหานั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องยาก แต่การแปลวรรณกรรมนั้นยากยิ่งกว่า
เชื่อว่าหลายาคนคงจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกใช้คำศัพท์ หากผู้แปลเข้าใจความหมายของต้นฉบับผิดก็จะแปลออกมาผิด
วรรณกรรมถือว่าเป็นที่รู้จักกันดีเพราะมีมาตั้งแต่โบราณ
หลายคนก็รู้จักกันดีในนามของวรรณคดี
งานเขียนประเภทนี้จัดเป็นงานเขียนประเภทบันเทิงคดีมุ่งให้ผู้อ่านได้รับความบันเทิง
วรรณกรรมไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแต่ในประเทศไทย
ประเทศอื่นๆเช่น ประเทศอังกฤษ อียิป ก็มี
ซึ่งแต่ละเรื่องขึ้นอยู่กับลักษณะความเป็นอยู่ของประเทศนั้นๆ
บางครั้งคนส่วนหนึ่งจึงใช้วรรณกรรมในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ
เพราะวรรณกรรมจะสอดแทรกวัฒนธรรม และประเพณีเอาไว้ด้วย
การแปลวรรณกรรมสิ่งที่ต้องคำนึงคือ
ความหมายที่ยังคงเดิมของเนื้อเรื่องและที่สำคัญที่สุดคือการรักษาอัถรสของเรื่องไว้
ซึ่งผู้แปลจะต้องมีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมากและงานที่จัดอยู่ในประเภทวรรณกรรมก็แบ่งออกเป็นหลายชนิดด้วยกัน
เช่น นิยาย นวนิยาย เรื่องสั้น นิทาน บทละคร การ์ตูน บทภาพยนตร์ บทเพลง
และงานทุกชิ้นนั้นก็จะมีหลักการแปล
อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกันบ้างตามลักษณะของประเภทงาน อาทิเช่น นวนิยาย
เป็นหนังสือชนิดหนึ่งที่ทั่วประเทศให้ความนิยมโดยเฉพาะกลุ่มของวัยรุ่น
ที่ผู้แปลนวนิยายหรือบันเทิงคดีจะได้รับชื่อเสียงเป้นอย่างมาก
ซึ่งผู้แปลต้องรักษาศิลปะในการใช้ภาษา ใช้ถ้อยคำที่สละสลวยไพเราะสอดคล้องกับต้นฉบับ
ในการแปลชื่อเรื่องของวรรณกรรม
ชื่อเรื่องถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของเรื่องเพราะมันเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านเป็นสิ่งแรก
(แต่งจึงต้องมีความพิถีพิถันในการตั้งชื่อเรื่องมากที่สุด
ดังนั้นผู้แปลจะต้องแปลชื่อเรื่องอย่างพิถีพิถันด้วย โดยจะมีหลักการแปลอยู่ 4
แบบ
นั้นก็คือ แบบที่ 1 ไม่แปล แบบที่ 2 แปลตรงตัว แบบที่ 3 แปลบางส่วนดัดแปลงบางส่วน
และแบบที่ 4 ตั้งชื่อใหม่โดยตีความชื่อเรื่องและเนื้อเรื่อง
แบบที่ 1 ไม่แปล
เป็นการใช้วิธีการถ่ายทอดเสียงหรือถ่ายทอดตามตัวอักษร(ทับศัพท์)
เพราะชื่อเรื่องมีความน่าสนใจและเป็นที่รูจักกันแพร่หลายสาเหตุนี้ผู้แปลจึงเลือกที่จะไม่แปล
แบบที่ 2 แปลตรงตัว เนื่องจากต้นฉบับมีความสมบูรณ์ ผู้แปลจึงอยากที่จะรักษาคำและความหมายไว้ด้วยภาษาที่ดีและกะทัดรัด
แบบที่ 3 แปลบางส่วนดัดแปลงบางส่วน
เมื่อเนื้อหาในฉบับมีความสมบูรณ์ไม่เพียงพอ
เนื้อหาบางคำไม่ค่อยดึงดูดผู้แปลจึงเลือกใช้วิธีนี้ และแบบที่ 4 ตั้งชื่อใหม่โดยตีความชื่อเรื่องและเนื้อเรื่อง รูปแบบนี้ผู้แปลจะต้องใช้ความเข้าใจกับชื่อเรื่องและเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก
สามารถจับประเด็นและจุดประสงค์ของเรื่องได้ชัดเจนจริงสามารถตั้งชื่อเรื่องใหม่ได้
ต่อไปเป็นการแปลบทสนทนา
เป็นสิ่งที่ยุ่งยากที่สุดเนื่องจากภาษาที่ใช้กันมีความหลากหลาย หลายระดับ
เมื่อแปลจะต้องแปลตามระดับสภาพของสังคมของผู้พูดบางครั้งอาจจะใช้คำราชาศัพท์
ภาษาสุภาพ ภาษาที่เป็นทางการ และบางครั้งอาจจะใช้ภาษาระดับตลาด
ซึ่งเต็มไปด้วยคำแสลง คำตัดสั้นๆ ที่มีการใช้กันจริงในชีวิตประจำวัน
ถ้าหากผู้แปลไม่มีความชำนาญหรือคุ้นเคยกับภาษาเหล่านี้ก็จะยากและเป็นอุปสรรคในการแปล
ในการแปลบทสนทนาสิ่งที่ต้องคำนึงคือผู้แปลจะต้องแปลอย่างเป็นธรรมชาติแปลให้สอดคล้องกับระดับภาษาและฐานะของผู้พูด
หากผู้แปล แปลคำต่อคำเมื่อสื่อออกมา ฟังแล้วก็จะดูแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ
การแปลบบรรยาย
เป็นบทความที่ใช้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์จึงมักเลือกใช้ภาษาเขียนที่ขัดเกลาและแตกต่างกันหลายระดับ
ทำให้เกิดความยุ่งยากในการแปลทีจะทำให้สอดคล้องกับต้นฉบับเดิม
ภาษาที่ทำให้เกิดความยุ่งยากในบทบรรยายนั่นก็คือ
ภาษาสังคม กับภาษาวรรณกรรมคดี ภาษาในสังคมมนุษย์มีการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน
การที่เราจะเรียนรู้ภาษาในสังคมนั้นได้จะต้องผ่านการฝึกฝนและความเคยชินเป็นเวลานาน
และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้การใช้ภาษาต่างกันนั่นก็คือ อาชีพ วัย เพศ
และสถานภาพทางสังคม สังคมจึงมีอิทธิพลต่อภาษาพูดเป็นอย่างมาก
และเมื่อเวลาผ่านไปภาษาของคคนในสังคมนั้นก้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ภาษาถิ่น เป็นภาษาที่ใช้กันในวรรณกรรมประเภทต่างๆ
เป็นภาษาหนึ่งที่มีความไพเราะและสละสลวย มีความถูกต้องตามความหมาย และไวยากรณ์
แต่ภาษานี้จะไม่นิยมใช้กันจริงในชีวิตประจำวันแต่นิยมใช้เขียนกันในวรรณกรรมเพื่อความไพเราะในการอ่าน
แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนจะต้องรู้จักการเล่นความหมายของคำ เสียงของคำ
เพื่อสร้างอารมณ์ในการอ่าน
และเพื่อให้ได้อัถรสควรใช้สำนวนที่คมคายในทำนองสุภาษิตด้วย
ในการแปลวรรณกรรมนั้นควรยึดข้อปฏิบัติดังนี้ คือ
ควรที่อ่านเรื่องราวให้เข้าใจก่อนหลังจากนั้นก็มาจับประเด็นที่สำคัญของเรื่อง
และนำเนื้อเรื่องมาย่อ ควรที่จะทำผังสัมพันธ์ของตัวละครที่สำคัญในเนื้อเรื่อง
หลังจากนั้นนำสำนวนต่างๆมาวิเคราะห์ ค้นหาความหมายหรือคำศัพท์ที่ไม่รู้จัก
เพื่อให้เราเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแปลได้ตรงความหมายไม่ผิดเพี้ยน
ในการแปลให้เป็นภาษาไทยควรใช้ถ้อยคำหรือสำนวนที่เรียบง่าย
อ่านเข้าใจชัดเจน และควรใช้ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติเพราะฟังแล้วดูสละสลวย
ต่อไปเป็นการแปลละคร ซึ่งละครจัดเป็นวรรณกรรมการแสดงทุกคนรู้จักกันดี
บางครั้งอาจจะมีบทเพลงหรือดนตรีประกอบ ถ้าหากว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้เรียกว่าละครพูด
ในบทละครปัจจุบันหรือที่เรียกว่าบทละครสมัยใหม่
ส่วนมากจะเป็นบทเจรจาหรือพูด
ในการเขียนบทละครพูดที่ดีไม่ควรใช้ถ้อยคำที่ยืดยาวแต่ควรใช้ถ้อยคำที่กะทัดรัด
ชัดเจน บทละครนั้นจะใช้บทบรรยายของตัวละคร
เป็นคำบรรยายฉาก สถานที่ เวลา และการเปิดตัวละคร
การแปลตัวละครจะดำเนินการเดียวกับการแปลเรื่องสั้น นวนิยาย นิทาน นิยาย โดยเริ่มจากการอ่านต้นฉบับอย่างเข้าใจ และหาความหมายนำมาแปลด้วยภาษาที่เหมาะสม
นอกจากนี้การอ่านต้นฉบับตัวละคร
การที่เราจะเข้าใจบทละครต่างๆได้ดี ควรที่จะอ่านหลายๆครั้ง
เพื่อทำความเข้าใจควรจะตั้งคำถามในขณะที่อ่านด้วยว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อใด
อย่างไร หลังจากนั้นก็หาความหมายของคำและคำศัพท์ที่เราไม่รู้จักหรือคุ้นเคย
และถ้าให้ดีควรที่จะศึกษาหาความรู้นอกเพิ่มเติมเกี่ยวกับต้นฉบับ
บทภาพยนตร์ การที่เราจะนำมาใช้ในงานแปลเราจะต้องมีการถ่ายถอดเป็นบทเขียนก่อน หากไม่มีบทเขียนผู้แปลจะต้องฟังหรือดูจากฟิล์ม
โดยมีจุดประสงค์ในการแปล 2 ประการคือ
ผู้ฟังจะต้องได้ยินเสียงของนักแสดงพุดเป็นภาษาไทยก่อนที่จะนำบทแปลไปพากย์หรืออัดเสียงในฟิล์ม
และผู้ฟังจะต้องได้ยินเสียงเดิมของนักแสดงและเห็นคำแปล
ก่อนที่จะนำบทแปลไปเขียนคำบรรยายในฟิล์มดั้งเดิม
สังเกตได้ว่าบทภาพยนตร์นั้นก็เหมือนกับบทละคร
ส่วนมากจะประกอบด้วยบทสนทนา แต่บทภาพยนตร์นั้นจะมีบทละครที่หลากหลายกว่า
และจะมีลักษณะของตัวละครที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนการพูดจะเน้นความรวดเร็วซึ่งแตกต่างจากบทละครที่พูดช้าสิ่งเหลานี้จะมีผลต่อการแปลบท
ซึ่งผู้แปลจะต้องแปลอย่างรวดเร็วทันกับบทบาทของการแสดง
ซึ่งจุดประสงค์ของการเขียนบทภาพยนตร์นั้นเขียนเพื่อนำไปแสดง
เพื่อความฉับไวในการรักษาความต่อเนื่องของภาพและเนื้อหา
สิ่งที่ผู้แปลต้องตระหนักถึงคือลักษณะเฉพาะของบทเพื่อป้องกันความผิดพลาดของเนื้อหาในเรื่อง
ของเนื้อเรื่อง และการแปลภาพยนตร์ก็มีขั้นตอนเดียวกับการแปลละคร การ์ตูน ทุกอย่างต้องมีความสัมพันธ์กัน
โดยจะอ่านข้อความ ภาพ และฉากพร้อมกัน
นิทานหรือ นิยาย
เป็นบันเทิงคดีประเภทหนึ่งที่มีตั้งแต่สมัยโบราณมีการเล่ากันด้วยปากและวาจาเนื่องจากสมัยนั้นไม่มีการใช้ตัวอักษร
ในการเล่าจะใช้วิธีที่ไม่ซับซ้อน ในการเล่านิทานหรือนิยายเพื่อนำคำสั่งสอนของศาสนาไปเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้
และเล่ากันเพื่อสร้างความสนุกสนานให้แก่เด็ก
อีกทั้งยังฝึกจินตนาการให้ผู้ฟังอีกด้วย
ซึ่งตามหลักวรรณคดีสากลได้แบ่งประเภทนิทานไว้ดังนี้
Tale เป็นเรื่องเล่าที่แต่งขึ้นมา
จะเล่าเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองในด้านของเนื้อหาจะดูเป็นธรรมชาติแต่ที่ดูแปลกตาก็คือวิธีเล่า
Myth เป็นเรื่องเล่าที่มาตั้งแต่โบราณ
เหตุการณ์จะเกี่ยวกับศาสนาหรือเทพเจ้า มีพลังอำนาจลึกลับของธรรมชาติ
ซึ่งจะมุ่งให้อารมณ์เร้าร้อนและแสดงความเป็นเหตุเป็นผลให้ผู้ฟัง
Fable เป็นเรื่องสั้นที่มุ่งให้เห็นถึงสัจธรรม
ส่วนใหญ่ตัวละครเป็นสัตว์หรือคน เช่น นิทานอิสป Fabliau เป็นเรื่องเล่าสั้นๆ
ที่แต่งเป็นร้องกรอง สามารถนำมาร้องเพลงได้ Fairy Tales เป็นนิทานที่เกี่ยวกับเทพเจ้าที่ให้ความสนุกและสอนใจผู้ฟัง
และ Legend เป้นเรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญหรือวีรบุรุษท้องถิ่นที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง
ในการอ่านต้นฉบับนิทานนั้น
ครั้งแรกก็จะอ่านกันอย่างรวดเร็วหลักจากนั้นก็ตั้งคำถามว่า ใคร ทำอะไร ที่หน
เมื่อใด ทำไม เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของเนื้อเรื่องหลักจากนั้นก็เริ่มอ่านอีกครั้งอย่างช้าๆหาความหมายหรือคำศัพท์ที่ยังไม่รู้จักหรือเข้าใจ
ส่วนมากในนิทานจะใช้คำศัพท์ระดับกลาง
ตอนจบก็จะจบด้วยคำสอนส่วนชื่อเรื่องนั้นเราสามารถใช้วิธีแปลตรงตัวได้
เรื่องเล่าเป็นเรื่องที่สั้นๆ
แฝงด้วยอารมณ์ขันมักปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร จึงมักใช้ถ้อยคำที่กะทัดรัด
บางครั้งผู้เขียนเองก็จงใจทำให้กำกวมเพราะสามารถสร้างอารมณ์ขันได้
เรื่องเล่าจะประกอบด้วยตัวละคร 1-2 ตัว
ซึ่งทั้งสองตัวนี้จะมีความสัมพันธ์กันไม่สามารถตัดตัวใดตัวหนึ่งออกได้
และเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนจบ
การอ่านเรื่องใดๆก็ตามควรที่จะอ่านให้เข้าใจเสียก่อน
การแปลเรื่องเล่าก็เช่นกันโดยอาศัย 4 ขั้นตอนดังนี้ในการทำความเข้าใจ คือ ใคร ทำอะไร
ส่วนทางภาษาก็จะใช้ภาษาระดับกลางจะมีความกำกวมและอารมณ์ขัน
ส่วนการ์ตูนเป็นวรรณกรรมอย่างหนึ่งที่เด็กให้ความสนใจเป้นอย่างมากเพราะการ์ตูนให้ความสนุกสนานและเพลิดเพลิน
อีกทั้งยังมีการสอดแทรกสาระลงไปในเนื้อหา
นอกจากนี้การ์ตูนยังช่วยใช้เด็กรู้จักใช้จินตนาการ และสร้างสรรค์
ฝึกสังเกตและวิเคราะห์
อีกทั้งยังช่วยให้เด็กมีไหวพริบเพราะผู้อ่านสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับ
ความหมายและภาษา
บางครั้งการเรียนการสอนของครูสามารถนำการ์ตูนมาเป็นสื่อในการเรียนเพราะจะช่วยดึงดูดความสนใจเด็กๆได้ดี
หลักการแปลการ์ตูนนั้นก็จะใช้คำที่สั้นและชัดเจน เข้าใจ สื่อความหมายได้
ส่วนภาษาที่ใช้นั้นก็มีด้วยกันหลายระดับขึ้นอยู่กับตัวละคร
และผู้แปลก็ต้องรู้จักสังเกตภาษาของตัวละครด้วยว่าสอดคล้องกันหรือไม่
ซึ่งในการแปลการ์ตูนนั้นก็เหมือนกับการแปลเรื่องเล่า
คือผู้แปลต้องอ่านเนื้อเรื่องให้เข้าใจก่อนโดยใช้ภาพในการทำความเข้าใจประกอบ
หลังจากนั้นก็แปลโดยใช้ถ้อยคำสั้นๆและสุดท้ายการแปลกวีนิพนธ์
เป็นวรรณกรรมที่แต่งโดยร้อยกรอง และมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ทั้งด้านจำนวนคำหรือพยางค์
เสียงที่หนัก-เบา และจังหวะ กวีนิพนธ์นี้มีมานานตั้งแต่สมัยโบราณ
สร้างขึ้นมาเพื่อให้ความรู้ สอนศีลธรรมและยังให้ความบันเทิงอีกด้วย
แต่ในปัจจุบันนั้นกวีนิพนธ์มีขนาดสั้นลง
มุ่งแสดงความรู้สึกมากกว่าและที่สำคัญคือไม่เคร่งเรื่องฉันทลักษณ์ และเปิดโอกาสให้แสดงความรู้สึกอย่างกว้างขวาง
เพราะเหตุนี้การแปลกวีนิพนธ์จะต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายทีตั้งไว้ด้วย
ซึ่งการแปลกวีนิพนธ์จะมีลักษณะการแปลที่แตกต่างกันออกไป เช่นการแปลร้อยกรอง
แปลเป็นร้อยแก้วที่ประณีต
แต่ก็ได้มีปัญหาต่างๆที่ที่ตามมาในการแปลกวีนิพนธ์
นั้นก็คือความเข้าใจซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ในการแปลงานประเภทต่างๆ
ในการกำจัดปัญหานี้ผู้แปลเองจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิหลังของกวีอย่างเข้าใจถ่องแท้
ส่วนการเลือกใช้ถ้อยคำ สำนวน ก็เช่นกันผู้แปลจะต้องรู้จักใช้คำที่สั้นกะทัดรัด
มีเสียงหนักเบาเหมาะกับจังหวะ และที่สำคัญคือต้องสัมผัสกันด้วย
ดังนั้นการแปลวรรณกรรมนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะวรรณกรรมนั้นมีมากมายหลายประเภท
การใช้สำนวนหรือคำศัพท์ก็ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การที่เราจะแปลออกมาได้ดีจะต้องอ่านและทำความเข้าใจกับเนื้อหาให้ดีเสียก่อนหลายๆรอบ
พยายามศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับงานแปลชิ้นนั้น
เพื่อให้งานที่แปลออกมาดูสมบูรณ์ผู้อ่านสนุกกับเรื่องที่เราแปล(หลัการแปลวรรณกรรม)