Learning Log
ครั้งที่ 3
จากการศึกษาบทเรียนในครั้งนี้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง
Tenses ทั้ง 12 Tenses โดยจะกล่าวถึงกาลเวลาทั้งอดีต
ปัจจุบัน และอนาคต เป็นหลัก แต่ละ Tenses จะมีรูปแบบโครงสร้างที่แตกต่างกัน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลักไวยากรณ์ ที่จะเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษเบื้องต้น
ผู้เรียนนั้นต้องใช้ทั้งทักษะความจำและความเข้าใจในการเรียนรู้ ก่อนที่เราจะพูดเป็นประโยคหรือเขียนเป็นบทความได้นั้นเราจะต้องศึกษา
Tenses เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารกับบุคคลที่เราสื่อสาร
ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียนจะทำให้ความเข้าใจตรงกัน ถึงแม้ว่า Tenses จะเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนนั้นได้เรียนรู้มาแล้ว
แต่ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่ยังคงสับสนกับรูปแบบการใช้อยู่ หรือหากละเลยต่อการท่องจำก็อาจทำให้ลืมได้ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือก่อให้เกิดการใช้ที่ผิด
พูดหรือเขียนออกมาไม่มั่นใจ ถึงแม้ว่าชาวต่างชาตินั้นจะพูดกันโดยไม่เน้นไวยากรณ์เป็นหลักก็ตาม
แต่ในการเขียนนั้นเพื่อให้งานออกมาถูกต้องและสมบูรณ์ผู้เขียนจะต้องเขียนให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
นอกจากนี้ยังได้ศึกษาความรู้นอกห้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ การอ่านนั้นเป็นทักษะที่สำคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างมากเพื่อให้ผู้เรียนนั้นเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการรู้
ซึ่งเป็นสิ่งง่ายๆที่ผู้เรียนสามารถทำได้ด้วยตนเอง
จากการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักไวยากรณ์ เรื่อง Tenses ต่างๆทั้ง 12 tensesซึ่งถือว่าเป็น หัวใจของภาษาอังกฤษ โดยจะยึด อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นหลัก ซึ่งแต่ละ Tenses จะมีรูปแบบการใช้ที่ต่างกันออกไป ในภาษาอังกฤษจะประกอบด้วย Tenses หลักๆ 3 ชนิดคือ 1.Present Tense (ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน) รูปแบบการใช้ S +is/am/are+ v1 2. FutureTense(ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต) รูปแบบการใช้ S+will+V1 และ 3.Past Tense (ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต) รูปแบบการใช้ S+V2 และ Tense ทั้ง 3 ชนิดนี้ก็ยังแบ่งย่อยออกเป็นชนิดต่างๆได้อีก Tense ละ 4 ชนิดคือ Present Simple Tense , Present Continuous Tense, Present Perfect Tense, Present Perfect Continuous Tense, Future Simple Tense , Future Continuous Tense, Future Perfect Tense, Future Perfect Continuous Tense, Past Simple Tense , Past Continuous Tense, Past Perfect Tense, Past Perfect Continuous Tense แต่ในความจริงแล้วเราจะใช้กันจริงเพียงไม่กี่ tense ที่เหลือก็จะใช้ในกรณีที่เฉพาะเจาะจงบางกรณีเท่านั้น บาง Tense ก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย
คำว่า Simple
หมายถึง “ปกติธรรมดาๆ” จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปกติธรรมดาในปัจจุบัน ในอดีต หรือในอนาคต คำว่า Continuous แปลว่า”กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด” ณ
ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ทั้งในปัจจุบัน
อดีต และอนาคต คำว่า Perfect แปลว่า
“เสร็จสมบูรณ์”ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ทั้งในปัจจุบัน อดีต
และอนาคต และคำว่า Perfect
Continuous แปลว่า “เริ่มไปแล้วและยังดำเนินต่อเนื่องมาเรื่อย”
ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ทั้งในปัจจุบัน อดีต
และอนาคต
ซึ่งหากเราเข้าใจความหมายเราก็จะใช้ได้ถูกต้องตามกาลที่เราจะกล่าวถึงและหลักการใช้ของแต่ละ
tense ก็จะแตกต่างกันไม่มากหากเราเข้าใจ
Tense หลักทั้ง 3 แล้วมันก็จะง่ายต่อการเข้าใจ
Tense ย่อยๆโดยกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับไวยากรณ์เรื่อง Tense(กาล) จะต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความจำ
ผู้เรียนจะต้องฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อที่จะไม่ลืม สามารถใช้ได้โดยไม่สับสับสน
หากเราใช้ผิดเพียงนิดเดียวก็สามารถเปลี่ยนเป็นอีกความหมายหนึ่งได้ทันที ทำให้เกิดการสื่อสารที่เข้าใจผิดกัน
จากการศึกษานอกห้องเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
การอ่านนั้นเป็นทักษะสำคัญในการเรียนภาษาที่นำผู้อ่านไปสู่โลกกว้าง
ช่วยให้ผู้อ่านมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร มีความคิดสร้างสรรค์
การอ่านนั้นทำให้คนเกิดความรู้ เกิดเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ในสังคมปัจจุบันองค์กรต่างๆจึงใช้ความสามารถในการรู้หนังสือของคนในประเทศเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศนั้นเกิดการพัฒนาแล้ว การอ่านเป็นกระบวนการหนึ่งที่ต้องฝึกฝนอย่างมีระบบเป็นการแปลความหมายจากตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนอยากจะสื่อความหมาย
ซึ่งผู้อ่านจะต้องใช้ทักษะเดิมที่มีอยู่ประกอบกับความสามารถในการคิด
ความรู้ทางภาษา
ในการตีความหมายของสิ่งที่อ่านเพื่อให้ได้ความหมายที่ชัดเจนตรงตามที่ผู้เขียนสื่อออกมาให้รับรู้ การอ่านเป็นทักษะที่ฝึกได้ด้วยตนเอง
การฝึกมากๆจะทำให้มีความสามารถในการอ่านเพิ่มมากขึ้นตามระดับของการอ่าน ความสามารถในการอ่านได้ถูกต้องคือ อ่านถูกต้อง
อ่านคล่อง รวดเร็วเข้าใจเรื่องที่อ่าน
จับใจความสำคัญ ตอบคำถามได้
ตีความได้ มีความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์ มีสมาธิในการอ่าน
และอ่านแล้วมีการจดบันทึกแล้วสามารถนำไปใช้จริงในชีวิตประวันได้ (ฉวีวรรณ
คูหาภินันท์,2542: 16-17)
ความสำคัญของการอ่านว่าการอ่านหนังสือได้โดยไม่มีการจัดเวลาและสถานที่สามารถนำไปไหนมาไหนได้
ผู้อ่านสามารถฝึกคิดและสร้างจินตนาการได้เองในขณะที่อ่าน การส่งเสริมให้มีสมองดี
มีสมาธินานกว่าสื่ออื่น ทั้งนี้เพราะขณะอ่านจิตใจต้องมุ่งมั่นอยู่กับข้อความ
พินิจพิเคราะห์ข้อความ ซึ่งผู้อ่านกำหนดการอ่านด้วยตัวเอง จะอ่านคร่าวๆอ่านละเอียด
อ่านข้ามหรืออ่านทุกตัวอักษรเป็นไปตามใจของผู้อ่าน การอ่านมีความสำคัญที่สุดต่อการแสวงหาความรู้ของมนุษย์
มีส่วนช่วยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพิ่มพูนประสบการณ์ และให้ความบันเทิง
ผู้ที่อ่านน้อยหรือไม่อ่าน จะเปรียบเสมือนคนหูหนวก ตาบอด ไม่รู้เรื่องโลกภายนอก
จะทำให้ลุ่มหลงงมงายได้ง่าย เพื่อที่จะฝึกทักษะให้ผู้เรียนสามารถอ่านข้อความต่างๆได้อย่างเข้าใจ
หรือตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ การอ่านจะประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด
ย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆ อย่าง เช่น ประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน
ความสนใจในเรื่องที่อ่าน ความสามารถในด้านภาษา และจุดมุ่งหมายของการอ่านเป็นต้น
(กาญจนา จันทะดวง, 2542: 54-55)
การอ่าน
ถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญและมีประโยชน์มาก
เพราะในชีวิตประจำวันนั้นผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ ดังนั้น
การเน้นทักษะการอ่านจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นสูง ขั้นตอนในการสอนทักษะการอ่านสรุปได้ดังนี้ 1 เร้าความสนใจของผู้เรียน 1.1 ให้ผู้เรียนเดาความหมายของคำศัพท์ 1.2 ให้ผู้เรียนคาดคะเนความเป็นไปของเนื้อเรื่อง
2 ขั้นการอ่าน 2.1ให้ผู้เรียนอ่านเนื้อเรื่องคร่าวๆ เพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อหาทั้งหมด 2.2 ผู้เรียนอ่านเนื้อหา รายละเอียดของเนื้อเรื่อง เพื่อหาคำตอบสรุปประเด็นสำคัญ
ซึ่งอาจใช้วิธีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ การเขียนแผนผัง การเติมข้อมูลที่ขาดหาย
การเล่าโดยสรุป เป็นต้น 3.ขั้นหลังการอ่าน
เป็นขั้นที่ผู้สอนต้องการประเมินความถูกต้องและความเข้าใจในการอ่านของผู้เรียน
ทั้งนี้ผู้สอนอาจเชื่อมโยงทักษะการอ่านนี้ไปสู่ทักษะอื่นได้ เช่น ทักษะ การเขียน
ทักษะการฟังและทักษะการพูด โดยให้ผู้เรียนทำกิจกรรม ดังนี้ 1
ให้เขียนเนื้อเรื่องโดยสรุป 2
ให้แสดงบทบาทสมมติจากเรื่องที่อ่าน 3
ให้วาดภาพประกอบเรื่อง ปัจจุบันนี้ถือเป็นยุคโลกาภิวัตน์
ซึ่งเป็นยุคที่มีการสื่อสารแบบไร้พรมแดนของข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารก็สามารถส่งถึงกันได้อย่างรวดเร็ว
ฉะนั้น การอ่านจึงถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเรียนรู้
ดังนั้น จากการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน
ถือเป็นทักษะความรู้เบื้องต้นในการเรียนภาษาอังกฤษ การเรียนภาษาอังกฤษเราจึงควรเน้นไวยากรณ์เรื่อง
Tense เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นในการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะถือเป็นหัวใจหลักของการเรียนรู้ภาษาสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องและแม่นยำในทักษะการพูดและเขียนและเพื่อให้ผู้ที่สื่อสารมีความเข้าใจตรงกันหากใช้ผิดรูปแบบเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ความหมายของประโยคผิดเพี้ยนไปได้ทันที
และการเรียนรู้นอกชั้นเรียนเรื่อง ทักษะการอ่าน เพื่อให้ผู้เรียนนั้นเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการรู้
ซึ่งเป็นสิ่งง่ายๆที่ผู้เรียนสามารถทำได้ด้วยตนเอง การเน้นการอ่านจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นสูง
ทำให้ผู้อ่านมีความรู้เป็นผู้ที่คิดได้ ทำเป็น หากบุคคลใดที่อ่านน้อยหรือไม่อ่าน
จะเปรียบเสมือนคนหูหนวก ตาบอด ไม่รู้เรื่องโลกภายนอก
จะทำให้ลุ่มหลงงมงายได้ง่ายเพื่อให้ผู้เรียนนั้นเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการรู้
ฉะนั้นหากบุคคลในประเทศมีความรู้ความสามารถ
ก็จะเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่าประเทศนั้นเกิดการพัฒนาแล้ว หากต้องการให้ประเทศเราเจริญก็ต้องอ่านหนังสือให้มากยิ่งขึ้น
ที่มา : http://www.slideshare.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น