วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning 10 นอก


Learning  10

นอกห้องเรียน


                ในการเรียนรู้นอกห้องเรียนครั้งนี้ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆมากมายที่เกี่ยวการใช้ทักษะทั้ง 4 ทักษะ คือฟัง พูด อ่าน และเขียน ทักษะทั้ง 4 นี้มีความสำคัญต่อการเรียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาที่ต้องมั่นฝึกและเรียนรู้อยู่บ่อยๆ การเรียนรู้นั้นเราสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อเราต้องการที่จะเรียนรู้ และการเรียนรู้นั้นจะเรียนรู้ได้ดีก็ต่อเมื่อผู้เรียนอยากที่จะเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้หลายวิธี เช่นดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือหรือบทความต่างๆ ในการเรียนนอกห้องเรียนครั้งนี้ผู้เรียนจึงเลือกที่จะฝึกทักษะการฟังโดยฟังเพลงคนในฝันร้องโดย  Klear  และเพลงแสงและเงา ของแก้ม เดอะสตาร์ และได้ได้เลือกอ่านเกี่ยวกับเกี่ยวกับเรื่องการใช้ Let’s การเปรียบเทียบ(Comparison) ส่วนทักษะการพูดและการเขียนนั้นก็ได้ฝึกจากการฟังเพลงและการอ่านเรื่องต่างๆข้างต้นเพราะทั้งสองทักษะนี้สามารถฝึกได้จากการฟังและการอ่าน ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะพื้นฐานทางการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อผู้เรียนได้ฝึกทักษะทั้ง 4 นี้บ่อยครั้งแล้วก็จะเกิดความเคยชิน และทำให้ผู้เรียนนั้นมีความชำนาญในด้านภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น  ทำให้มีความต้องการที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น
               
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหนึ่งที่มีความสำคัญมาก  เป็นภาษากลางที่ช่วยให้โลกเราสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนหลากหลายประเทศ การเรียนภาษาให้ได้ผลต้องอาศัยการสะสมความรู้และการฝึกฝนจนชำนาญ แต่การเรียนแต่ในห้องดูแต่ตำราก็อาจทำให้เบื่อได้ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนภาษาอังกฤษอย่างสนุกสนาน และได้ความรู้ทางด้านไวยากรณ์และคำศัพท์โดยการเรียนผ่านเนื้อเพลง เป็นการเอาท่อนฮุกของเพลงมาแปล ทำให้เราสามารถเก็บความหมายได้ครบถ้วน และมีสัมผัสที่คล้องจองเอาไปร้องเพลงได้จริงด้วย  ทักษะแรกคือทักษะการฟังซึ่งได้เลือกฟังเพลงคือเพลงคนในฝันร้องโดย  Klear  และเพลงแสงและเงา ของแก้ม เดอะสตาร์ในการฟังเพลงครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งก่อนจะเป็นการเรียนภาษาอังกฤษที่มีการนำเสนอเทคนิคใหม่เป็นผสมเพลงกับวิชาการโดยจะมีการนำเพลงไทยที่เป็นที่นิยมและติดหูมาแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้สามารถจำคำศัพท์ได้ดีเพลงแรกคนในฝันร้องโดย  Klear  แต่ก่อนเป็นเพลงจังหวะช้าๆ ปัจจุบันมีการนำมาทำจังหวะใหม่เป็นจังหวะที่เร็วขึ้น
                ซึ่งในเพลงนั้นก็จะเป็นเพลงที่มีความไพเราะโดยจะแปลเนื้อร้องของท่อนฮุกได้ดังนี้จากฝันก็กลายเป็นมากกว่าฝัน From a dream ,it ends with more than the dream. จากความฝัน มันจบมากกว่าการเป็นแค่ความฝัน ในต้นประโยคใช้ a dream เพื่อบอกถึงความฝันหนึ่งที่ไม่เจาะจง แต่พอกล่าวซ้ำเป็นครั้งที่สองด้านหลังจึงเปลี่ยนจาก a dream เป็น the dream ซึ่ง the จะใช้เมื่อพูดถึงสิ่งที่เฉพาะเจาะจงหรือกล่าวซ้ำเป็นครั้งที่สอง   ฝันกลายเป็นจริงขึ้นมา My dream has become true กริยาช่อง 3  become-became-become แปลว่ากลายเป็น  เมื่อในเวลานี้มีเธอทั้งคน when I having you staying by my side. by someone’s side หมายถึง อยู่ข้างๆ หรือสนับสนุนใครสักคน ประโยค My dream has become true when I am having you staying by my side.หมายถึง ความฝันของกลายเป็นจริงเมื่อมีเธอยืนอยู่ข้างๆ  จากฝันก็กลายเป็นมากกว่านั้น เมื่อเธอได้เดินเข้ามา From a dream, it ends with more than the dream. When you enter my life. ประโยคนี้หมายถึง จากฝันตอนจบก็กลายเป็นมากกว่าฝันเมื่อเธอได้เดินเข้ามาในชีวิตของฉัน enter เป็นกริยา หมายถึง เข้ามา   หนึ่งคนที่มองหาไม่ใช่ใคร แต่ใช่เธอ what I have aspired and desired is just you .  aspire และ desire เป็น synonym มีความหมายว่าปรารถนา ต้องการ เช่นเดียวกับ want โดย  aspire นั้นมักจะสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายใหญ่ๆในระยาวและในความทะเยอทะยาน(ambition)
                จากบทเพลงนี้ก็จะมีคำที่เห็นแล้วติดใจ คือ aspire เป็นกริยา แปลว่าต้องการ ปรารถนา อยากมี มักจะสัมพันธ์
กับจุดหมายใหญ่ๆในระยะยาวและความหมายทะเยอทะยาน มาจาก as-  (พุ่งเข้าหาจุดหมาย เพิ่มขึ้น) บวกกับ –spire (หายใจ) เมื่อดูจากรากศัพท์แล้วเห็นภาพเลย เรามักใช้ aspire ต่อด้วย to และกริยาที่แสดงว่าอยากมีออยากเป็นอะไร  เช่น She aspired to become a famous actress.(เธอปรารถนาที่จะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง)  / Aspire not to have more but be more. เป็นคำคมให้ข้อคิดของฝรั่ง หมายถึง อย่าปรารถนาที่จะมั่งมีแต่จงปรารถนาที่จะมีคุณค่ามากขึ้น have more แปลว่า มีมากขึ้นในแง่ของทรัพย์สมบัติ แต่ be more คือเป็นให้มากขึ้นกว่าเดิม ทำตัวให้ดีกว่าเดิมและทำประโยชน์ให้มากกว่าเดิม ด้วยความหมายของ aspire (ปรารถนา) คำ 2 คำนี้จึงกลายเป็นสโลแกนในการโฆษณาสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ้นค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีอย่างรถยนต์ คอมพิวเตอร์ คำศัพท์อีกคำหนึ่งที่อยู่กับสินค้าและลงท้ายด้วย –spire เหมือนกันคือ expire เป็นกริยา แปลว่า หมดอายุ พบได้ตามผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะของกิน คำนี้มีรากศัพท์มาจากคำว่า ex- หมายถึง exit หรือ ออกบวกกับ –spire หมายถึง  หายใจ เมื่อไม่หายใจแล้วก็คือสิ้นอายุขัยนั้นเองเช่น This product will expire next month.
                คำ  คือ inspire เป็นกริยาแปลว่า บันดาลใจ  ผลักดัน  เช่น My father inspires me to be a good boy. (พ่อของผมผลักดันให้ผมเป็นคนดี) Be  I  inspired.(จงมีแรงบันดาลใจอยู่เสมอ) Aspire to inspire before you expire. ประโยคนี้เป็นคำคมให้ข้อคิดของฝรั่งหมายถึงจงปรารถนาที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่นก่อนที่ตัวเองจะสิ้นลมหายใจ คำที่สี่คือคำว่า respire เป็นกริยา แปลว่า หายใจ ความหมายเหมือนกับ breathe มีรากศัพท์มาจากคำว่า re- (ทำซ้ำ) และ –spire (หายใจ) เช่น After running, we respire more oxygen.(หลังจากการวิ่งเราหายใจมากขึ้น เพราะว่ากล้ามเนื้อของเราต้องการออกซิเจนมากขึ้น)ในหนังสือเรียนหรือในข้อสอบอาจได้พบ respiratory system คำนี้คือระบบหายใจและคำสุดท้ายคือคำว่า conspire คำนี้ให้ความหมายในทางที่ไม่ดีซักเท่าไร แปลว่า สมคบคิด หรือ ร่วมกันวางแผน มีรากศัพท์มาจากคำว่า con หรือ com แปลว่า รวมกัน และ spire แปลว่า หายใจ คำนี้ทำหน้าที่เป็นกริยา เช่นTom and Nick are conspiring to cheat on the exam.(ทอมกับนิคกำลังวางแผนเพื่อที่จะโกงข้อสอบ)
                ส่วนเพลงที่สองคือเพลงแสงและเงาของ แก้ม เดอะสตาร์เพลงนี้เปรียบเทียบ (compare) ผู้หญิงเป็นเงา(She is compared to a shadow.) ส่วนคนที่เธอรักเป็นแสง (He is compared to sunlight.) หากขาดแสงสว่างแล้วเงาก็หายไป  แสงและเงาเป็นการเปรียบเทียบแบบอุปมา หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า metaphor การเปรียบเทียบแบบอุปมาต่างกับการเปรียบเทียบปกติตรงที่อุปมาจะมาเชื่อมโยงให้เห็นลักษณะที่คล้ายกันของสองสิ่ง เช่น compare you to the moon เปรียบว่าเธอสวยเหมือนพระจันทร์ หรือเปรียบลักษณะต่างๆของสิ่งของก็ได้ เช่น compare love to red rose เปรียบว่าความรักเหมือนกุหลาบแดง compare to หมายถึงเปรียบเทียบว่า เหมือน มีลักษณะเท่าเทียมกับสิ่งนั้น แต่ในการเปรียบเทียบปกติ  เราจะเปรียบลักษณะที่เหมือนและแตกต่างดังนั้นของ 2 สิ่งจะต้องมีลักษณะเปรียบเทียบกันได้ จะใช้ compare with หรือการเปรียบเทียบขั้นกว่าไปเลย ไม่ใช้ compare to เช่น When you compare Munin with Muta , do you see any differences?  Munin is stronger and  more intelligent.(มุนินเข้มแข็งกว่าและฉลาดกว่า)
                นอกจากนี้ยังมีการนำท่อนฮุกของเนื้อเพลงมาแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย ดังต่อไปนี้คือ แค่รักเธอยังไม่กล้า I do not dare just  to love you. แปลตรงตัวคือ ฉันไม่กล้าเพียงแค่จะรักเธอ dare to do something หมายถึง be brave enough to do something มีความกล้าเพียงพอที่จะทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง  แอบรักเธอยังต้องกลัว  I do fear just to love you.  Fear หมายถึง กลัว   I fear… แปลว่า ฉันกลัว…. ยิ่งใช้ I do fear… ก็ยิ่งเป็นการเน้นความรู้สึกว่ากลัวจริงๆ ดังนั้นหากจะเน้นความรู้สึกก็ให้เติม verb to do หน้ากริยา เช่น I do you love. (เขารักเธอจริงๆ) ฉันได้แต่เตรียมตัวว่าฉันนั้นเป็นใคร Telling you my  dear, I know who I am. แปลตรงตัวคือ ขอบอกเธอตามตรงว่าฉันคำที่ใช้รู้ตัวเองว่าฉันเป็นใคร my dear เป็นคำที่ใช้เรียกชื่อคนซึ่งเป็นที่รัก dear ยังหมายความว่ามีราคาแพง (expensive) ได้อีกด้วย  และอีกประโยคหนึ่งก็คือ ก็แค่เงาอันเลือนราง  I am simply a shadow. Shadow หมายถึง เงา เราเรียกเงาลางๆว่า a fading shadow คำว่า fade หมายถึง จาง ค่อยๆหายไป
                เพลงนี้จะพูดถึงสำนวนแต่จะเปลี่ยนสำนวนเป็นสุภาษิต (proverb) ของ hope (หวัง ความหวัง) ประโยคบางประโยคจะเป็นข้อคิดและคำคม ที่นำไปปรับใช้ในชีวิตได้ดีคือ เริ่มต้นด้วย Hope deferred makes  the heart sick.  แปลตรงตัวคือความหวังที่ถูกเลื่อนออกไปทำให้จิตใจป่วย มีความหมายว่า เมื่อต้องรอสิ่งที่คุณต้องการนานๆคุณจะสิ้นหวังไปก่อนเพราะไร้จุดหมาย  ต่อมา hope for the best มีความหมายคล้ายกับ wish for the best แปลว่า คาดหวังให้ส่งต่างๆเป็นไปด้วยดีไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม เช่น Prepare yourself and hope for the best in the exam next week.(จงเตรียมตัวและหวังไว้ก่อนว่าจะทำได้ดีที่สุดในการสอบอาทิตย์หน้า)  อีกสุภาษิตก็คือ Hope is a good breakfast but a bad supper. Breakfast หมายถึงอาหารเช้า ส่วน supper หมายถึง อาหารค่ำหรืออาหารเบาๆ ในมื้อดึก แปลตรงตัวว่า ความหวังเป็นอาหารเช้าที่ดีแต่เป็นอาหารค่ำที่เลว อีกนัยหนึ่ง ความหวังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่เป็นจุดจบที่เลวร้าย เพราะในตอนต้น ชีวิตที่มีความหวังทำให้รู้สึกสดชื่นแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้วยังได้แต่หวังอยู่ ก็แสดงว่าสุดท้ายเราไม่สามารถทำให้ความหวังกลายเป็นความจริงได้ที่เลว อีกนัยหนึ่ง ความหวังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่เป็นจุดจบที่เลวร้าย เพราะในตอนต้น ชีวิตที่มีความหวังทำให้รู้สึกสดชื่นแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้วยังได้แต่หวังอยู่ ก็แสดงว่าสุดท้ายเราไม่สามารถทำให้ความหวังกลายเป็นความจริงได้
                หากจะกล่าวถึงเรื่องของไวยากรณ์ จะพูดถึงเรื่องการใช้ who I am เป็นคำถามที่ใช้ถามว่าเธอเป็นใคร ใช้ who are you? ฉันเป็นใครใช้ Who am I ? แต่ปกติคงไม่มีใครถามแบบนี้เพราะเราต้องรู้ว่าตัวเราเองเป็นใคร (I know who I am.) ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นคำถามจึงไม่ใช้ Who am I? อันดับแรกให้ตัดเครื่องหมายคำถาม(?) ออก ใส่จุด full stop แทน และสลับการเรียงคำ  Who I am ไม่ใช่คำถามและไม่ใช่ประโยค แต่เป็นส่วนของประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เรียกว่า noun clause เมื่อทำหน้าที่เหมือนนามตัวหนึ่งก็แปลว่าใช้เป็นประธานและกรรมของประโยคได้ กรณี I know who I am. เสมือนเป็นนามทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา know       who you are, where you are from และ what you did พวกนี้เข่าข่าย noun clause เช่นกัน เช่น I don’t care who you are. I don’t care where you are from. I don’t care what you did.  ทั้งหมดนี้ไม่ได้ตั้งใจจะถาม แต่จะบอกว่าฉันไม่สนใจ ดังนั้นเราจึงใส่ full stop สังเกตว่าใช้ who you are ไม่ใช่ Who are you? ใช้ where you are from ไม่ใช่ Where are you from? ใช้ what did you do?  :ซึ่งnoun clause ที่ขีดเส้นใต้นั้นจะมีลักษณะการเรียงตัวเหมือนกันคือใช้ question word
                นอกจากนี้ยังฝึกทักษะการอ่านคือจะเลือกอ่านเรื่องการใช้ Let’s นั้น ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงสับสนอยู่บ้างซึ่งบางครั้งเกิดการใช้ที่ผิดอยู่บ่อยมากทำให้ความหมายที่สื่ออกมานั้นผิดเพี้ยนไป คำว่า Let’s เป็นคำที่ใช้พูดเมื่อต้องการชวนใครสักคนให้ทำอะไรหรือไปไหน  และเป็นการชวนที่ผู้คนมักจะคิดว่า ผู้ถูกชวนจะเห็นด้วยแต่บางครั้งในความจริงผู้ที่ถูกชวนอาจไม่เห็นด้วยก็ได้ซึ่งถือว่าเป็นการถูกบังคับโดยไม่ทันตั้งตัว  ดังเรื่องราวและประโยคเหล่านี้คือ ฟาตินกับเพอร์ซีเป็นนักเที่ยวนักดื่มด้วยกันทั้งคู่ ทุกคืนจะต้องไปหาอะไรนั่งดื่มที่ผับแห่งหนึ่งในเมือง เย็นนี้ ผมได้ยินสาวฟาตินชวนหนุ่มเพอร์ซีว่า “Let’s go somewhere different tonight!” คืนนี้ย้ายที่ไปที่อื่นกันบ้างเถอะ! เข้าชมรมคนเหงาเศร้าใจวันแรก พวกเราต่างคนต่างนั่งนิ่ง ไม่กล้าสบตา หรือสนทนากะใคร ผู้สูงอายุที่สุดในที่ชุมนุมแห่งนั้นเห็นบรรยากาศไม่ดี จึงประกาศชวนว่า “Let’s start by introducing ourselves.” ซึ่งไม่ควรใช้ประโยคชักชวนที่เริ่มด้วย let โดยไม่มี apostrophe    ....Lets go. นั้นผิด จะต้องใช้ว่า.../...Let’s go. ไปกันเถอะ  เมื่อใช้เป็นปฏิเสธไม่ควรอย่าใช้ don’t มาไว้หลัง let ...X...Let’s don’t go. แต่ให้ใช้ Let’s not แทน  เช่น “Let’s not tell your sister about this.”  ก็มีฝรั่งบางกลุ่ม ที่เอา Don’t ไปไว้หน้า let’s เช่น “Don’t let’s argue.” เราอย่ามาเถียงกันดีกว่า.
                และเรื่องที่สองที่อ่านคือเรื่องการเปรียบเทียบ(Comparison) ซึ่งจะเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ เปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ และจะบอกถึงลักษณะของการเปรียบเทียบ  สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่ได้มีลักษณะเหมือนกันหมดทุกย่าง แต่แตกต่างกันทั้งลักษณะภายนอกเช่น สูง ต่ำ อ้วน ผอม คุณสมบัติต่างๆ เช่น ดำ ขาว  ฯลฯ ซึ่งคำในภาษาอังกฤษที่แสดงความหมายเหล่านี้มีอยู่ 2 ประเภท คือคำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ การที่จะพูดบอกให้ทราบว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มีมากน้อยกว่ากันเท่าใด จึงสามารถแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ Positive Degree(การเปรียบขั้นปกติ)  Comparative Degree(การเปรียบเทียบขั้นกว่า) Superlative Degree (การเปรียบเทียบขั้นสุด) การเปรียบเทียบคำคุณศัพท์(Comparison of Adjective) เพื่อสร้างคำขั้นกว่าและขั้นสุดทำได้ 2 วิธี คือ 1 สรร้างรูปขั้นกว่าให้เติม -er ท้ายคำ  หรือเติม more ข้างหน้า 2 สร้างรูปขั้นสุดให้เติม the ข้างหน้าและ –est ท้ายคำ หรือเติม the most ข้างหน้าเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์(Adverb) สามารถเปรียบเทียบได้เช่นเดียวกับคำคุณศัพท์ คือการเปรียบเทียบขั้นกว่าและการเปรียบเทียบขั้นสุด และมีลักษณะการเปรียบเทียบคือการเปรียบเทียบคน กลุ่มคน สัตว์และสิ่งของ
                ส่วนทักษะการพูดและการเขียนถือเป็นอีกสองทักษะที่มีความสำคัญต่อการเรียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก ซึ่งเรานั้นเราก็สามารถนำสิ่งที่จะจากทักษะการฟังคือเพลงทั้งสองเพลงจากข้างต้นทั้งสองเพลงเพลงคนในฝันร้องโดย  Klear  และเพลงแสงและเงา ของแก้ม เดอะสตาร์ และจากทักษะการอ่านจากเรื่องข้างต้นทั้งสองเรื่องเกี่ยวกับเกี่ยวกับเรื่องการใช้ Let’s การเปรียบเทียบ(Comparison)และเรื่องคำบุพบท(Preposition)   ซึ่งเราสามารถฝึกพูดฝึกอ่านจากสิ่งที่เขียนหรือฟังได้พร้อมกัน เนื่องจากหากเราทำหรือฝึกสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็จะได้อีกทักษะหนึ่งควบคู่กันไป ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในการเรียนนอกห้องเรียนครั้งนี้ผู้เรียนสามารถฝึกทักษะทั้งสี่คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ได้จากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว เราสามรถทำได้หลายวิธี แต่ในที่นี้จะเลือกฟังเพลงและอ่านหนังสือทักษะเหล่านี้เป็นทักษะพื้นฐานทางการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อผู้เรียนได้ฝึกทักษะทั้ง 4 นี้บ่อยครั้งแล้วก็จะเกิดความเคยชิน และทำให้ผู้เรียนนั้นมีความชำนาญในด้านภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น  ทำให้มีความต้องการที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น

ที่มา:  นิติ นวรัตน์ http://www.thairath.co.th/content/218351
          ไพบูลย์ เปียศิริไวยากรณ์อังกฤษและกริยา 3 ช่องฉะเชิงเทรา. 2544


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Hello

Hello

วริษา ฤทธิราช

แนะนำตัวฉัน

ชื่อ : นางสาววริษา ฤทธิราช
ชื่อเล่น : ษา
ที่อยู่ : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
E-mail : WarisaRittirat@gmail.com