วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning Log 7


Learning Log

ครั้งที่ 7

ในห้องเรียน

จากการศึกษาในห้องเรียนครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับทักษะการฟัง ซึ่งการฟังนั้นผู้ฟังจะต้องมีสมาธิในการฟัง ตั้งใจฟังจึงจะสามารถจับประเด็นใจความสำคัญได้ ซึ่งในการศึกษาในห้องเรียนครั้งนี้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง  Adjective Clause และการลดรูปให้เป็น  Phase ซึ่งก่อนหน้าที่จะเรียนเรื่องนี้ในห้องเรียน ดิฉันก็ได้ศึกษาและทำความเข้าในมาบ้างแล้วแต่ก็ยังสับสนกับการเปลี่ยนรูปแบบประโยคอยู่ทำให้ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก แต่หลังจากที่ได้ศึกษากันในห้องเรียนและได้ลองฝึกแต่งประโยคเองก็ทำให้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช้เป็นเรื่องที่ยากอย่างที่คิด  และในห้องเรียนก็ได้อธิบายถึงความหมายต่างๆของ Simple Sentence, Compound Sentence, Complex Sentence, Compound Complex Sentence ซึ่งจะเห็นได้ว่าประโยคต่างๆเหล่านี้มีความหมายและการใช้ที่ต่างกัน แต่จะมีส่วนที่เหมือนกันคือยึดโครงสร้างประโยคเหมือนกันคือภาคประธานและภาคแสดง เมื่อเรารู้หลักการใช้และความหมายต่างๆเหล่านี้แล้วเราก็สามารถสร้างประโยคเองได้

    ในการศึกษาเรื่อง  Adjective Clauseได้รู้ว่าเป็น (อนุประโยคที่ทำหน้าที่อย่างคุณศัพท์) คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่ขยายคำนามหรือวลี ไม่ว่าคำนามนั้นจะทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เป็นกรรมของกริยา หรือเป็นกรรมของบุพบทก็ตาม อนุประโยคนี้จะขึ้นต้นด้วย that, which, who, where, when, หรือ whose เป็นต้น อนุประโยคนี้จะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Relative Clause ดังตัวอย่างเช่น  The man who lives on the third floor is a doctor. ดังประโยคข้างต้นจะเห็นได้ว่าโครงสร้างของประโยคภาษาไทยและภาษาอังกฤษใกล้เคียงกันมาก keyword ที่ใช้นำหน้า Adjective Clause ทั้งนี้เพราะคำนามหรือนามวลีที่อนุประโยคนี้ทำหน้าที่ขยาย เป็น คนและยังทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคหรือประธานของคำกริยา “is” ด้วย ในการเรียนครูก็จะมีตัวอย่างให้ผู้เรียนได้ดูและวิเคราะห์ตามซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเพราะผู้เรียนนั้นจะได้จดจำในสิ่งที่ถูกต้อง และสามารถเลียนแบบประโยคได้และก็จะนำไปสู่การแต่งประโยคได้ด้วยตนเอง
เมื่อเรารู้จักAdjective Clause และสามารถสร้างประโยคได้ ซึ่งประโยค Adjective Clause นั้นจะดูไม่กระชับประโยคดูกำกลวม และเพื่อให้ประโยคดูกระชับอ่านเข้าใจมากขึ้นเราก็จะนำประโยคนั้นมาลดรูปให้เป็น Adjective Phrase และไม่เพียงแค่ให้ประโยคกระชับแต่ยังให้ผู้แต่งประโยคได้ฝึกการใช้ภาษาที่หลากหลายไม่เกิดความซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ทำให้ความหมายหรือบริบทของประโยคนั้นผิดเพี้ยนไปจากเดิมดังนั้น Clause ที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม (Noun) หรือสรรพนาม (Pronoun) คือ Adjective clause และถ้าลดรูปแล้วจะได้เป็น Participial phrase หรือ Adjective phrase/ Adjectival phraseโดยมีหลักการและขั้นตอนดังนี้คือการลดรูป Relative clause ที่เป็น Adjective clause ให้เป็นวลี (Phrase) โดยตัด Relative pronoun ทิ้ง (Relative pronouns: that, who, whom, which, whose, whom)และเปลี่ยนเป็น V.3 และ V.ing  ถ้า –ing และ past participle อยู่ในรูปของวลียาวๆ ตำแหน่งของมันก็จะอยู่ตามหลังประธานที่มันขยายเสมอ
นอกจากนี้ยังศึกษาเกี่ยวกับความหมายต่างๆเกี่ยวกับเรื่อง Simple Sentence, Compound Sentence, Complex Sentence, Compound Complex Sentence ใน 4 เรื่องนี้เป็นการศึกษารูปแบบของประโยคชนิดต่างๆในภาษาอังกฤษ โดยมีการอธิบายว่าประโยคความเดียว(Simple Sentence) คือประโยคที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวมันเอง ซึ่งประกอบด้วยภาคประธาน (Subject)ที่มีประธานเป็นหนึ่งเดียวภาคแสดง(Predicate)ที่มีกริยาเพียงหนึ่งคำโดยภาคประธานและภาคแสดงนั้นอาจจะมีส่วนขยายอื่นๆอยู่ด้วยก็ได้ ซึ่งประโยคความเดียวนั้นถือเป็นประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษเป็นประโยคง่ายๆที่สามารถสร้างได้โดยไม่ซับซ้อน ใน 4 รูปแบบของประโยคนี้ก็จะมีความคล้ายคลึงกัน คือจะมีภาคประธานและภาคแสดงแต่ความหมายนั้นจะต่างกันโดยสิ้นเชิงผู้ที่แต่งประโยคเหล่านี้จะต้องทำความเข้าใจในโครงสร้างของประโยคให้เข้าใจอย่างดีเสียก่อน
ประโยคความรวม(Compound Sentence) คือประโยคที่สร้างขึ้นจากประโยคความเดียวอย่างน้อย 2 ประโยคโดยมี Coordinating Conjunction หรือ Conjunctive Adverb เชื่อมระหว่างประโยค ประโยคความเดียวที่อยู่ในประโยคความรวมนี้จะถือเป็นอนุประโยคประเภท Independent Clause ซึ่งหมายถึง อนุประโยคที่สามารถสื่อความหมายได้ด้วยตัวเอง และเมื่อแยกตัวออกจากประโยคความรวมแล้วก็จะกลายเป็นประโยคความเดียว(Simple Sentence) โดยทั่วไปเราสามารถสร้างประโยคได้โดยการเชื่อมประโยคความเดียวสองประโยคเข้าด้วยกันโดยใช้ Coordinating Conjunction ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ตัวและสามารถจำได้ง่ายๆคือ for, and, nor, but, or, yet และ so และอาจจะคั่นด้วยเครื่องหมาย Comma(,)เพื่อให้เป็นประโยคเดียวกันมีความหมายคล้อยตามกัน
ประโยคความซ้อน(Complex Sentence) คือประโยคที่ประกอบด้วยอนุประโยคที่สามารถสื่อความหมายได้ด้วยตัวเองเมื่อแยกออกมาจากประโยคความซ้อน อนุประโยคนี้มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า Independent Clause กับอีกอนุประโยคหนึ่งที่ไม่สามารถสื่อความหมายได้ด้วยตัวเองเมื่อแยกมาประโยคความซ้อน อนุประโยคอย่างหลังนี้เรียกว่า Dependent Clause ซึ่งจะนำหน้าด้วย subordinate conjunction อย่างเช่น after, although, as, as long as, because, so that, that, which, while, what หรือ when เป็นต้น ในประโยคความซ้อนนั้น อนุประโยคชนิด Independent Clauseและ Dependent Clause จะต้องอยู่ด้วยกัน จึงสามารถสื่อความหมายตามที่ผู้พูดหรือผู้เขียนต้องการ
ประโยคความรวม ความซ้อน(Compound-complex Sentence) คือประโยคที่ประกอบทั้ง Independent Clause และ Dependent Clause โดยมักจะประกอบด้วยจำนวน 2 ประโยคขึ้นไปทั้งสองประโยคนั้นก็ต้องมีความหมายคล้อยตามกัน และ Dependent Clause อีก 1 ประโยค โดยคำสันธานตามหน้าที่การเชื่อมข้อความประเภทต่างๆ แต่การแยก Correlative Conjunction ออกมาดูจะเป็นการเน้นที่โครงสร้างของคำสันธานมากกว่าเน้นหน้าที่เพราะ Correlative Conjunction มีโครงสร้างต่างจาก Conjunction ประเภทอื่น Conjunction ชนิดนี้จะประกอบด้วยคำสองคำ และทำหน้าที่ได้ทั้งเชื่อมข้อความที่มีความหมายคล้อยตามกันหรือเชื่อมข้อความที่มีความหมายให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากประโยคจะแบ่งตามโครงสร้างแล้วก็ยังแบ่งตามหน้าที่ของประโยคนั้นด้วย
                ซึ่งเมื่อเราได้ศึกษารูปแบบประโยคต่างๆ ทำให้รู้ถึงโครงสร้างเมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจในรูปแบบและความหมายของประโยคเหล่านี้แล้วก็สามารถสร้างประโยคได้ด้วยตนเอง จะเห็นได้ว่าโครงสร้างของประโยคนั้นจะคล้ายกันตรงที่มีภาคประธานและภาคแสดง แต่อย่างไรรูปแบบการใช้นั้นย่อมต่างกันรวมถึงความหมายของแต่และรูปแบบนั้นย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิงผู้แต่งประโยคจึงต้องทำความเข้าใจในรูปแบบของประโยคให้ชัดเจนจึงจะสามารถแต่งประโยคได้ถูกต้องและสมบูรณ์  ประโยคในภาษาอังกฤษก็เหมือนกับประโยคในประภาษาไทย หากผู้ที่แต่งประโยคนั้นใช้คำกำกลวม ใช้คำฟุ่มเฟื่อยก็จะทำให้เข้าใจประโยคนั้นยาก ใช้เวลาในการทำความเข้าใจนาน ประโยคจึงดูไม่กระชับ ในการแต่งประโยคผู้แต่งควรที่จะมีการเล่นคำเล่นภาษา เพื่อให้ประโยคดูน่าสนใจและสละสลวย แต่ต้องไม่ทำให้ความหมายของประโยคนั้นๆผิดเพี้ยน บิดเบียนไปจากความเดิม
                จะเห็นได้ว่าในการเรียนครั้งนี้เป็นการเรียนที่ต้องใช้ทักษะการฟังและการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาเป็นอย่างมาก ผู้ฟังที่ดีนั้นจะต้องมีสมาธิใจการฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งในการเรียนครั้งนี้ผู้เรียนนั้นได้ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบต่างๆของประโยคมากมาย ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ในการเรียนการสอนได้ดี ในปัจจุบันภาษาอังกฤษมีรูปแบบประโยคมากมายที่ใช้พูดกัน บางประโยคเมื่อผู้พูด พูดแล้วก็เกิดการสับสนมึนงงเพราะประโยคนั้นไม่กระชับอาจก่อให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ การทำให้ประโยคดูกระชับอาจทำได้หลายวิธีแต่ในที่นี้จะใช้วิธีการลดรูปจากประโยที่เป็น Adjective Clause ให้เป็น  Adjective Phase ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสิ่งที่สำคัญในการเรียนภาษาภาอังกฤษอีกอย่างหนึ่งก็คือรูปแบบของประโยคเมื่อเราเข้าใจก็จะนำไปสู่การพูด และการเขียนที่ดีขึ้น


นอกห้องเรียน
จากการศึกษานอกห้องเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับทักษะการฟัง ซึ่งดิฉันได้เลือกฟังเพลง Blank Space ร้องโดย  Taylor Swift และ one last time ร้องโดย Ariana  Grande จากการฟังเพลงนี้ก็เพื่อความบันเทิง สนุกสนาน  ผ่อนคลาย และนอกจากนี้ยังได้ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ต่างๆที่มีอยู่ในเพลง ซึ่งเพลงทั้งสองนี้เป็นเพลงเกี่ยวกับความรักแต่จะมีความหมายที่ต่างกันออกไปซึ่งเพลงแรกจะเป็นเพลงที่ล้อเลียนพฤติกรรม และเพลงที่สองนั้นจะเป็นเพลงเป็นแอบหวังที่กลัวผิดหวัง โดยเพลงทั้งสองนี้เป็นที่นิยมฟังของวัยรุ่นเป็นเพลงทำนองเร็ว แต่ไม่ถึงกับเร็วมากจนเกินไปผู้ที่ฟังที่มีทักษะการฟังยังข่อนข้างอ่อนสามารถฟังออกได้บางคำ แต่หลังจากที่ฟังไปหลายๆรอบก็จะฟังออกหมดเกือบทุกคำที่ร้อง  และหากเราพูดหรือร้องตามเพลงที่ฟังอยู่ได้ก็จะฝึกทักษะการพูดของเราได้เช่นกันแต่ผู้ที่ฟังเพลงนั้นจะต้องมีใจรักในเสียงเพลงด้วยและเลือกฟังเพลงทำนองที่ตนเองชอบจะทำให้เราอยากที่จะฟังและใฝ่หาความรู้จากบทเพลงนั้นๆ
เพลงแรกที่ฟังนั้นคือเพลง Blank Space ร้องโดย  Taylor Swift ซึ่งนักร้องที่ร้องเพลงนี้เป็นนักร้องวัยรุ่นเป็นที่รู้จักและนิยมกันในกลุ่มวัยรุ่น  ความหมายของเพลงนี้เป็นเพลงเชิงล้อเลียนเกี่ยวกับ พฤติกรรมของเธอที่ถูกเขียนลงในแม็กกาซีนต่างๆ “New money, suit and tie” ในแม็กกาซีนเคยพูดถึงเธอว่าเธอคบใครเพราะ เงินเธอจึงเลือกเอาประโยคนี้มาเล่นในเพลงด้วย เธอรู้ว่าผู้ชายที่เข้ามาจีบเธอต่างรู้กิตติศัพท์ของเธอ และอยากจะเข้ามาลองเล่น เพราะผู้ชายชอบอะไรที่ท้าท้าย  จากการที่ได้ฟังเพลงนี้สามารถแปลความหมายโดยรวมได้ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง เธอสนใจในตัวผู้ชายคนนั้นและอยากที่จะเข้าหาเขา เธอเปรียบผู้ชายคนนั้นเป็นเสมือนแม็กกาซีนเล่มใหม่ที่ดูมีราคา และเธอก็ยินดีที่จะหยิบแม็กกาซีนเล่มนี้มาเปิดอ่าน ซึ่งเธอก็รู้ดีแล้วว่าผู้ชายที่เธอจะเข้าหานั้นเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจแต่เธอสัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ผู้ชายที่ร้ายกาจกลายเป็นผู้ชายที่แสนดีให้ได้
ซึ่งรักครั้งนี้อาจจะเป็นรักที่ยั่งยืนและอาจจะแย่เหมือนตกอยู่ในเพลิงไฟในเวลาเดียวกัน เพราะฉันนั้นมีแฟนมาแล้วหลายคนและกลัวว่าแฟนเก่าเหล่านี้จะมาบอกให้เขาได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของเธอที่เคยทำเอาไว้กับเหล่าแฟนเก่า เนื่องจากเธอนั้นคิดว่าเธอยังอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวเลยไม่คิดหรือแคร์อะไรมากเพราะยังเหลือเวลาในช่วงชีวิตอีกยาวนาน  ซึ่งหากเธอทิ้งเขาไปอาจทำให้เขาใจแทบจะขาดและอาจจะทิ้งบาดแผลเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ยังมีที่ว่างในหัวใจที่จะให้ชื่อของชายหนุ่มคนนี้มาอยู่ในหัวใจของเธอ  ปากกาสีแดง ท้องฟ้าสีสว่างสดใส เธอจะแสดงสิ่งที่วิเศษมากมายโดยการที่จูบ และพูดลวงโดยใช้คำหวาน(คุณคือราชาของฉันและฉันก็คือราชินีของคุณ)และเธอก็บอกกับเขาว่าเธอจะคบกับเขาเพียงเวลาหนึ่งเดือน แต่สิ่งนั้นยังมาไม่ถึงเธอบอกกับเขาว่าห้ามร้อง ห้ามโวยวาย ห้ามบ้าคลั่ง เพราะเธอนั้นอาจจะทำลายข้าวของได้  เธอเปรียบตัวเองเสมือนกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนาม ต่อให้คุณจากฉันไปคุณก็ต้องกลับมา และฉันก็จะเป็นฝันร้ายในคราบฝันดีของคุณ
จากเพลงนี้จะเห็นได้ว่าความรักระหว่างหนุ่มสาวในช่วงวัยรุ่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวซึ่งมาพร้อมกับความตื่นเต้นและท้าทายเนื่องจากวัยรุ่นนั้นเป็นวัยที่มีอารมณ์ร้อน ยึดความคิดของตนเองเป็นหลัก ทำสิ่งที่ตนเองชอบและอยากจะทำโดยไม่คำนึงหรือคิดถึงผลที่จะตามมาทีหลัง ซึ่งจากเนื้อเพลงนี้ก็จะมีตัวละครอยู่สองคน บทเพลง จะมีการใช้ภาษาที่ไพเราะและมีการเปรียบตัวละครเหมือนกับบทกวีคือเปรียบตัวละครเป็นสิ่งของ หรือสิ่งต่างๆ เช่น ผู้หญิงได้เปรียบผู้ชายเป็นพระราชา  และผู้หญิงเป็นราชินี และกุกลาบที่เต็มไปด้วยหนาม(ซึ่งมีความหมายว่าเป็นผู้หญิงที่สวยแต่ร้ายกาจ) ส่วนคำศัพท์ที่ใช้นั้นเป็นคำศัพท์ที่ที่ง่ายเหมาะกับผู้ที่มีพื้นฐานทางด้านภาษาอังกฤษต่ำ  ผู้ที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ หรือเด็กระดับประถมศึกษาก็สามารถนำไปเป็นสื่อในการเรียนรู้ในด้านทักษะการแปลได้เช่นกัน
ส่วนเพลงที่สองนั้นเป็นเพลง one last time ร้องโดย Ariana  Grandeความหมายก็คือเป็นเพลงเป็นแอบหวังที่กลัวผิดหวังโดยรวมเนื้อเพลงจะพูดถึงหญิงสาวที่เป็นคนที่ชอบโกหก เป็นคนชอบพูดโม้โอ้อวด ซึ่งในความจริงแล้วเธอเองก็รู้ว่าควรจะยับยั้งตัวเองไว้บ้าง แต่อย่างน้อยเธอก็เป็นคนที่ซื่อตรง เธอรู้สึกได้ถึงความล้มเหลวกับอะไรบางสิ่งในชีวิตของเธอ เธอรู้ตัวดีว่าได้ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งผิดหวังในตัวเธอและเธอก็ได้สัญญาว่าจะปฏิบัติตัวให้ดีว่าเดิมเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ชอบการโกหก  เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถสู้อะไรกับผู้หญิงคนนั้นของเธอได้เลยเพราะเธอคนนั้นสามารถทำเพื่อเขาได้ทุกอย่าง ซึ่งต่างกับเธอที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเขาได้เลย  ซึ่งในตอนนี้ผู้ชายคนนี้ก็ได้มีทุกสิ่งที่เขาต้องการต่างกับเธอไม่เหลืออะไรเลย
ดังนั้นครั้งสุดท้ายที่เธอจะขอจากผู้ชายคนนี้คือเธออยากจะพาเขากลับบ้านอีกสักครั้ง และให้คำสัญญากับผู้ชายคนนี้ว่าจะปล่อยเขาไปและจะไม่สนว่าเขาจะมีใครคนนั้นในหัวใจ  ผู้หญิงคนนี้สนเพียงแค่ว่าชายคนนี้จะนอนหลับแหละตื่นในอ้อมแขนของเธอเป็นครั้งสุดท้าย  เธอรู้ว่าเธอไม่สมควรที่จะได้รับโอกาสนั้นเลยเธอได้แต่ขอร้องให้เขาอยู่ช้างเธอสักหนึ่งนาทีเธอสัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่คุ้มค่า แต่เธอรู้ตัวดีว่าเขาคงไม่ให้โอกาสและให้อภัยกับเธออีกและเธอก็ได้รู้ตัวเองดีว่าเธอเป็นคนผิด และเธอก็ได้แต่พูดว่าเธอควรจะดูแลความสัมพันธ์ของเธอและเขาให้มากกว่านี้
จะเห็นได้ว่าเพลงที่สองนี้ก็จะเป็นเพลงแนวความรักเช่นกันเป็นเพลงที่มีทำนองเร็วแต่ไม่ถึงกับเร็วมาก ซึ่งในเนื้อเพลงจะพูดถึงตัวละครสามคน แต่ตัวหลักก็จะมีเพียงสองคนคือผู้ชายกับผู้หญิงแสดงได้เห็นถึงการจากลาและเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นเมื่อจะจากเราไป และในเรื่องนี้ก็ยังให้ข้อคิดอีกว่าหากผู้ใดพูดโกหกอยู่บ่อยๆก็จะไม่มีใครรัก หรือชอบ เพราะบุคคลที่ชอบโกหกนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้  บทเพลงนั้นจะไม่มีการเปรียบเทียบเหมือนกับเพลง one last time แต่คำศัพท์ที่ใช้นั้นมีความง่ายไม่ต่างกับเพลง one last time ซึ่งเหมาะกับผู้ที่อ่อนภาษาอังกฤษ ผู้ที่สนใจจะฝึกพูดหรือแปลภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่เด็กระดับประถมก็เช่นกัน ครูสามารถนำเนื้อเพลงไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนเพื่อฝึกให้เด็กได้หัดฟังและหัดแปล ซึ้งเนื้อหาในเพลงก็ตรงกับเด็กในช่วงวัยรุ่นและเพลงก็เป็นสิ่งที่เด็กชอบเพราะไม่ทำให้น่าเบื่อ อาจทำให้เด็กนั้นสนใจที่เรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น
ดังนั้นจากการฟังเพลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่ได้เพียงแค่ผ่อนคลาย ความบันเทิงหรือสนุกสนานแต่ยังได้ข้อคิดและทักษะต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฟัง พูด อ่าน หรือเขียน หากเราเลือกเพลงภาษาอังกฤษแนวที่เราชอบฟังแล้วเปิดฟังอยู่ซ้ำๆบ่อยๆหลายครั้งเราก็จะได้ทักษะเหล่านี้มากมาย และยังได้คำศัพท์เพิ่มขึ้นอีกด้วย  และการฟังแพลงนั้นหากเราเข้าใจความหมายของเพลงแล้วเราก็จะรู้ว่าลักษะการแต่งเพลงของเขามีลักษณะเป็นอย่างไร มีการใช้คำที่สวยเหมือนกับเพลง Blank Space ที่มีการเปรียบเทียบตัวละครของเพลงเหมือนกับบทกวีในภาษาอังกฤษเมื่อเรารู้วิธีการแต่งของเพลงแล้วเราก็จะรู้ว่าเพลงนั้นมีความเพราะมากเพียงใดและอาจจะทำให้เราหลงรักภาษาอังกฤษได้โดยที่เราเองไม่รู้ตัว  นอกจากนี้ยังครูยังสามารถนำมาใช้ในการประกอบการเรียนการสอนของเด็กได้อีกด้วยซึ่งในการเลือกเพลงนั้นครูจะต้องเลือกเพลงที่เหมาะสมกับเด็กทั้งด้านความหมายหรือคำศัพท์ที่ใช้ในบทเพลงเพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและทำให้ผู้เรียนอยากที่จะเรียน เ รียนอย่างมีความสุข


                https://www.youtube.com




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Hello

Hello

วริษา ฤทธิราช

แนะนำตัวฉัน

ชื่อ : นางสาววริษา ฤทธิราช
ชื่อเล่น : ษา
ที่อยู่ : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
E-mail : WarisaRittirat@gmail.com