วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning Log 9


Learning Log 9

ในห้องเรียน
                จากการเรียนรู้ในห้องเรียนครั้งนี้ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง noun clause ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ต้องอาศัยทักษะการฟัง noun clause จัดเป็นเรื่องหนึ่งที่จัดอยู่ในด้านของไวยากรณ์จะเป็น Clause (อนุประโยค) ที่มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่ง noun clause ก็จะทำหน้าที่เหมือนคำนามหรือกลุ่มคำนาม(นามวลีหรือ noun phrase)ซึ่งการใช้ noun clause ให้ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยเฉพาะส่วนของ writing และ speaking ในการสอบ grammar โดยเฉพาะ writing ซึ่งจะต้องสามารถเขียนใช้รูปแบบของ Complex sentence ได้บ้าง จะทำให้ช่วยลดข้อผิดพลาดในการใช้จนแทบไม่มีเลยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหากเราไม่ใช้ Noun Clause ในการสอบ Writing เลยเพราะจริงๆแล้ว Complex Sentence มีหลายประเภท ซึ่ง Noun Clause ถือเป็นหนึ่งในนั้นซึ่งเราสามรถศึกษาและทำความเข้าใจจากหนังสือและในห้องเรียนที่ผู้สอนได้สอน อีกทั้งในการเรียนในห้องเรียนครั้งนี้ผู้สอนยังให้ผู้เรียนได้ฝึกแต่งประโยคเกี่ยวกับ noun clause ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าในในสิ่งที่เรียนมากยิ่งขึ้น
            
    Noun clause คือประโยคที่ทำหน้าที่เหมือน คำนาม หรือกลุ่มคำนาม (นามวลี หรือ Noun phrase  )Noun Clause จะมีคำ  'that'  หรือคำ  wh-word (what; where, when, why, how เป็นต้น) นำหน้าประโยค   คำนามหรือนามวลีสามารถเป็นประธานของประโยคและกรรมของกริยาได้ ดังนั้น Noun clause ก็ทำได้เหมือนกัน Noun clause และ คำนามหรือกลุ่มคำนามเกิดในตำแหน่งเดียวกันในประโยคได้ คือตำแหน่งของประธานและกรรม ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ก็เหมือนกับภาษาไทย  noun clause มีคำที่ใช้นำหน้าเพื่อเชื่อมกับ main clause คำที่ใช้นำหน้าดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยคือ   1  That 2   Wh -words:  who, whoever, whom, whomever, whose, what, whatever, which, whichever, where, wherever, when, whenever, why, how        3  If/ Whether (… or not) และนอกจากนี้   Object Noun Clauses จะต้องอยู่คู่กับ Main Clause ของประโยคเสมอ โดยประโยคจะเริ่มด้วย Main Clause แล้วตามด้วย Object Noun clause โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย Comma คั่น
          that นำหน้า noun clause ที่เป็นประโยคทั่วไปไม่ว่าจะเป็นประโยคบอกเล่า  (affirmative statement) หรือ ประโยคปฏิเสธ ( negative statement)  ตัวอย่างเช่น   Affirmative statement :  That he will come is certain.  ( การที่ เขาจะมา เป็นสิ่งแน่นอน)   Negative statement:   Jane replied that her boss would not be in tomorrow .หน้าที่ของ noun clause  ที่นำหน้าด้วย   that สามารถใช้นำหน้า noun clause  ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม ส่วนเสริมประธาน กรรมตามหลังบุพบท และ appositive ตัวอย่างเช่น Subject:    That the majority of people in developing countries live in dire poverty is true.
Object:     The government believes that the national economy will recover soon. Subject complement:   His ambition was that he wanted to become prime minister. Object of a preposition:   The twins are similar in that they love folk songs .
Appositive:   The rumor that there is a serpent in the Mae Kong River may be true .  การละคำนำหน้า   that ที่นำหน้า noun clause  ที่ทำหน้าที่บางหน้าที่ใน complex sentence สามารถจะละได้ในกรณี ต่อไปนี้    กรณีที่ noun clause เป็น object  We believe (that) he told the truth.  The police assured us (that) the children would be found safe and sound.
                กรณีที่ noun clause เป็น subject complement   The reason is (that) he speaks English fluently. My opinion is (that) you'd better stay home.ตามหลังคำคุณศัพท์    I am sure (that) he can get a good job.   They are afraid (that) they cannot catch the 6 o'clock  train.  ( ในกรณีที่ noun clause เป็นประธาน ไม่ สามารถละ that ได้)ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้ that    appositive noun clause  จะนำหน้าด้วย that เท่านั้นและไม่มีการละ that เช่น   The news that she won the beauty contest was published in all of the daily  newspapers.  noun clause  ที่นำหน้าด้วย that ที่ใช้ตามหลังคำบุพบทมีเป็นจำนวนน้อยโดยที่คำบุพบทที่จะตามด้วย “that” clause  มักตามหลังคำคุณศัพท์หรือคำกริยาที่แสดงความเหมือนกันหรือต่างกัน   เช่น   similar, alike, different, differ เช่น John and his brother are alike in that they enjoy folk music .  noun clause  ที่นำหน้าด้วย that  ไม่สามารถใช้เป็นกรรมรองหรือส่วนเสริมกรรมได้      that ที่นำหน้า noun clause  ที่ทำหน้าที่ประธานของประโยค สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างโดยใช้   impersonal pronoun “ it” นำหน้าประโยค   แล้วนำ noun clause  ไปไว้ท้ายประโยคได้   That he showed up at the party was a great surprise.
          Wh -words ใช้นำหน้าข้อความที่เป็นลักษณะการถามข้อมูล เช่น   I doubt why  you want statistical figures .
หน้าที่ของ noun clause ที่นำหน้าด้วย wh-words อยู่ในตำแหน่งของคำนามในประโยคได้ทุกตำแหน่งยกเว้น   appositive  โดย noun clause ที่นำหน้าด้วย wh -words มีหน้าที่ต่างๆดังนี้   Subject:   What he did was a serious mistak.  Object:   She told me how I could raise more money for charity.  Indirect object:   The man enjoyed explaining his theory to whoever was  interested in it.  Object of a preposition:   The question of when the election will be held will be wh-words ที่ใช้นำหน้า noun clause จะมีหน้าที่บางประการใน noun clause   ดังนี้   who, whoever, whom, whomever   ทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน noun clause    Whoever wins must treat us to lunch.    I want to know who he has chosen to marry .  whose   คำนามที่ตามหลัง whose ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม กรรมตามหลังบุพบท  และส่วนเสริมประธาน ใน noun clause เช่น    I asked whose money was stolen.  
what, whatever ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม และส่วนเสริมประธานใน noun clause เช่น    I'm afraid of what will happen after that.  which, whichever   มักมีคำนามตามหลัง โดยทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน noun clause  เช่น  I don't know which brand is worth buying.   where, when, why, how ทำหน้าที่เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใน   noun clause : where, wherever บอกสถานที่เช่น  Where he will stay has yet to be decided.  You should ask him where he wants to stay .  Wherever you go is the right place for me. : when, whenever   บอกเวลา เช่น You must find out when he is due to arrive at the airport .    We are interested in when the conflict will be resolved.   I don't care whenever he does  that .: why   บอกสาเหตุหรือเหตุผลเช่น   Why he went to China was not known.   Nopadol told the teacher why he could not finish his assignment . :how   บอกกิริยาอาการ เช่น  Describe how you felt at that time .  How he was involved in the scandal needs to be investigated.  answered by the Election Committee tomorrow.  Subject complement:   You are what you eat. Object complement:   People call him whatever they like .
                If/Whether (... or not) สำหรับ wheter หรือ if นี้ จะนำมาใช้เมื่อเปลี่ยนจากคำถามที่ตอบ yes หรือ no (yest/no question) มาเป็น Noun Clause เท่านั้นใช้นำหน้าข้อความที่เป็นลักษณะการถามว่าใช่หรือไม่   if ใช้ได้เฉพาะนำหน้า noun clause ที่เป็นกรรม เท่านั้น ส่วน whether  หรือ if  แปลว่า  "ว่า...หรือไม่" ใช้ได้ทุกกรณีซึ่งwhether ใช้เป็นทางการมากกว่า ส่วน if ใช้ได้ทั่วไปโดยเฉพาะภาษาพูดและ or not มักใช้กับภาษาพูดและภาษาที่ไม่เป็นทางการมากกว่า เช่น I wanted to know if/whether I could accompany him .  He asked if/whether or not he could take a day off.  There is no answer to whether the political turmoil will end soon .  Whether our team will win or not depends on luck.  ข้อสังเกต    whether จะมี or not ตามหลังทันที   ต่อท้ายประโยค หรือไม่มีก็ได้ แต่ if ไม่สามารถ มี or not ตามหลังทันทีได้   I wonder whether or not the weather will be fine on the day of our departure.  I wonder if/whether the weather will be fine on the day of our departure or not .  I wonder if/whether the weather will be fine on the day of our departure.
                Noun Clause ทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา (object) และเป็นประธานของประโยค (Subject) และ Noun clause ที่เชื่อมด้วย Question Words นี้จะต้องเรียงให้อยู่ในรูปประโยคบอกเล่าคือประธาน (Subject) จะอยู่หน้าหรือก่อนกริยา (Verb) ยกเว้น who ที่ประโยคบอกเล่าและคำถามเรียงเหมือนกัน (ประธานตามด้วยกริยา) ดังนั้นจากการเรียนรู้ในห้องเรียนครั้งนี้ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง noun clauseจัดเป็นเรื่องหนึ่งในด้านของไวยากรณ์จะเป็น Clause (อนุประโยค) ที่มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่ง noun clause ก็จะทำหน้าที่เหมือนคำนามหรือกลุ่มคำนาม(นามวลีหรือ noun phrase)ซึ่งการใช้ noun clause ให้ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยเฉพาะส่วนของ writing และ speaking ในการสอบ grammar โดยเฉพาะ writing  ปัญหาในการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องไวยากรณ์จะหมดไปหากเรานั้นศึกษาและทำความเข้าใจจากหนังสือและในห้องเรียนที่ผู้สอนได้สอน อีกทั้งในการเรียนในห้องเรียนครั้งนี้ผู้สอนยังให้ผู้เรียนได้ฝึกแต่งประโยคเกี่ยวกับ noun clause ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าในในสิ่งที่เรียนมากยิ่งขึ้น




นอกห้องเรียน
                ในการเรียนรู้นอกห้องเรียนครั้งนี้ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆมากมายที่เกี่ยวการใช้ทักษะทั้ง 4 ทักษะ คือฟัง พูด อ่าน และเขียน ทักษะทั้ง 4 นี้มีความสำคัญต่อการเรียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาที่ต้องมั่นฝึกและเรียนรู้อยู่บ่อยๆ การเรียนรู้นั้นเราสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อเราต้องการที่จะเรียนรู้ และการเรียนรู้นั้นจะเรียนรู้ได้ดีก็ต่อเมื่อผู้เรียนอยากที่จะเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้หลายวิธี เช่นดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือหรือบทความต่างๆ ในการเรียนนอกห้องเรียนครั้งนี้ผู้เรียนจึงเลือกที่จะฝึกทักษะการฟังโดยการฟังเพลงในเพลงที่ชื่อว่า “Roar” แปลว่า เสียงคำราม และเพลงJessie J – Flashlight แปลว่าคือแสงไฟของฉัน ฝึกทักษะการพูดโดยการดูหนังเรื่อง romeo and juliet  ฝึกทักษะการอ่านโดยการอ่านเกี่ยวกับบทความต่างๆคือเรื่อง การขอร้องในภาษาอังกฤษ ด้วย Would/do you mind?และเรื่องการพูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่ใช้พูดกันบ่อยในชีวิตประจำวัน  ฝึกทักษะการเขียนโดยการดูหนังและฟังเพลงซึ่งจะจดคำศัพท์หรือประโยคที่ตนเองยังไม่รู้หรือคุ้นเคยมาก่อน เมื่อผู้เรียนได้ฝึกทักษะทั้ง 4 นี้บ่อยครั้งแล้วก็จะเกิดความเคยชิน และทำให้ผู้เรียนนั้นมีความชำนาญในด้านภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น  ทำให้มีความต้องการที่จะเรียนภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น
                ทักษะแรกเป็นทักษะเกี่ยวกับการฟัง ในการฟังนั้นผู้ฟังจะต้องมีสมาธิในการฟังจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องที่ฟัง การฟังนั้นจะต้องมีการสนทนากันตั้งแต่สองคน เมื่อมีผู้พูดแล้วก็ต้องมีผู้ฟัง ในการเรียนรู้ทักษะการฟังครั้งนี้ได้เลือกฟังเพลงด้วยกันสองเพลงซึ่งเพลงแรกคือเพลง Roar  แปลว่า เสียงคำราม ซึ่งเป็นเพลงที่มีช่วงทำนองที่เร็วฟังแล้วตื่นเต้นและเพลงที่สองคือเพลง Jessie J – Flashlight แปลว่าคือแสงไฟของฉัน เป็นเพลงช้าฟังสบายๆ ซึ่งความหมายและช่วงทำนองนั้นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพลงแรกนั้นเพลง Roar   เป็นเพลงบอกเล่าเรื่องราวว่า เครื่องบินตกในป่าดงดิบ แล้วผู้ชายก็ไม่ค่อยสนใจเที่เลย เอาแต่ถ่ายรูป โยนกระเป๋ามาให้ถือ ทำทุกอย่างกดขี่ตลอด จนผู้ชายโดนเสือตะปบไปกิน.. จากนั้น เรื่องราวก็เป็นการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในป่า ผูกมิตรกับสัตว์ และสุดท้ายเจอเสือตัวเก่า แต่ที่คุ้นเคยก็ไม่กลัว เขาขู่คำราม จนเสือต้องหมอบให้   เนื้อเพลงบอกเล่าว่า ฉัน ต้องกล้ำกลืนอดทนมาตลอด ไม่ปริปากพูดสักคำ ยอมให้นายกดขี่มาโดยตลอด แต่อย่ากดขี่ฉันให้มันมากไป  ขีดจำกัดของคนเรามันก็มีเหมือนกัน อย่าให้ฉันปรี๊ดแตก  เห็นแววตาฉันไหม มันมีดวงไฟลุกโชนอยู่ตลอด พร้อมจะคำราม และสยบนายให้มาแทบเท้าฉันได้  เพลงนี้ ฟังง่าย แปลได้ไม่ยาก แล้ว Katy Perry เป็นนักร้องที่ออกเสียงค่อนข้างชัดเจน
                เพลงที่สองเป็นเพลง  Jessie J – Flashlight แปลว่าคือแสงไฟของฉันจากการฟังเพลงก็จะบอกเล่าว่าเมื่อวันรุ่งขึ้นมาเยือนฉันก็จะต้องอยู่ตัวคนเดียวแล้วมันน่ากลัวสิ่งที่ฉันไม่รู้จักและถึงแม้เส้นทางจะยาวไกลเพียงใด
ฉันก็จะมองขึ้นไปบนฟากฟ้าแม้ในความมืด ฉันก็จะพบเจอ จะไม่มีวันหยุด จะไม่โบยบินไปฉันจะร้องเพลงออกมา
ฉันมีทุกๆสิ่งที่ฉันต้องการเมื่อมีเธอและฉัน  ฉันมองไปรอบๆ และก็ได้เห็นชีวิตอันแสนงดงามถึงแม้จะติดอยู่ในความมืดมิด แต่เธอก็ดั่งแสงไฟส่องสว่างให้ฉันและเธอทำให้ฉันข้ามพ้นค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยวไปได้ ฉันหยุดหัวใจไม่ให้เต้นรัวไม่ได้เลย เมื่อเธอเปล่งประกายในสายตาของฉันโกหกไม่ได้เลยจริงๆ นี่แหละชีวิตอันแสนหวานเพราะเธอคือแสงไฟของฉัน ฉันเห็นเงามืดที่ทอดยาวจนถึงยอดเขาแต่ฉันไม่กลัวแม้สายฝนจะไม่หยุดโปรยปรายเพราะเธอส่องสว่างนำทางให้ฉันแล้ว เพลงนี้เป็นเพลงที่มีการบรรยายให้เห็นภาพที่ชัดเจนจะบรรยายโดยมีฉากธรรมชาติเข้ามาประกอบ เนื้อเพลงบางตอนจะมีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน เช่นประโยคที่ว่า  you're my flash light. (เธอคือแสงสว่างของฉัน) ความหมายในเนื้อเพลงจะแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของตัวละครเอกว่ากำลังมีความสุขและพึงพอใจกับความรักที่ตนเองมีอยู่ตอนนี้ เมื่อผู้ฟังฟังแล้วก็จะรู้สึกผ่อนคลายประกอบกับเสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างช้าๆและไพเราะทำให้เพราะเสนาะหู
               
ฝึกทักษะการพูดโดยการดูหนังเรื่อง romeo and Juliet โดยมีเรื่องย่อดังต่อไปนี้ว่าโรมิโอ และ จูเลียตนั้นเป็นบุตรชายและบุตรสาวของสองตระกูลที่ไม่ถูกกัน วันหนึ่งที่คฤหาสน์ของจูเลียตจัดงานเลี้ยง โรมิโอก็ได้แอบเข้าไปในงาน และได้พบกับจูเลียต ทั้งสองจึงเกิดชอบพอกันหลังจากวันนั้นโรมิโอจึงแอบเข้าไปหาจูเลียตที่คฤหาสน์บ่อยๆ และลักลอบได้เสียกันโดยที่พ่อแม่ของจูเลียตไม่รู้ ต่อมาจูเลียตจำเป็นต้องแต่งงานกับชายที่พ่อแม่หาให้ จึงบอกให้โรมิโอพาตนหนีแต่ก็หนีไม่ได้ เมื่อพ่อกับแม่ของจูเลียตรู้ว่าโรมิโอกับจูเลียตรักกันก็กีดกันไม่ให้ทั้งสองรักกันและจะจัดงานแต่งงานของจูเลียตโดยเร็วที่สุด และโรมิโอก็ต้องหนีไปเพราะโรมิโอไปมีเรื่องกับญาติของจูเลียตทำให้คนในตระกูลของจูเลียตจะจับโรมิโอไปลงโทษ จึงทำให้โรมิโอและจูเลียตต้องพลัดพรากจากกัน เมื่อใกล้ถึงวันแต่งงานจูเลียตจึงได้วางแผนให้คนเขียนจดหมายให้โรมิโอมาหาที่โบสถ์แห่งหนึ่ง แล้วจูเลียตก็แกล้งกินยาชนิดหนึ่งที่เป็นยาที่เมื่อใครกินแล้วจะเหมือนกับตายเข้าไปและคิดว่าเมื่อยานี้หมดฤทธิ์แล้วโรมิโอมาถึงพอดีทั้งสองก็จะหนีไปพร้อมกัน แต่โรมิโอก็มาถึงก่อนเวลาที่ยาจะหมดฤทธิ์จึงทำให้โรมิโอนั้นคิดว่าจูเลียตตายแล้วจริงๆ จึงเสียใจมาก จึงฆ่าตัวตายตามจูเลียตไป เมื่อจูเลียตฟื้นขึ้นมาเห็น โรมิโอนอนตายอยู่ข้างตนจึงฆ่าตัวตายตามไป ในที่สุดความตายของทั้งสองคนก็ทำให้ทั้งสองตระกูลคืนดีกัน    
ซึ่งเรื่องนี้เป็นมหาวรรณกรรมที่ถูกดัดแปลงพูดต่อหรือส่งอิทธิพลมากที่สุด romeo and Juliet เป็นบทกวีของวิลเลี่ยม เชคเสปียร์เป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่ถูกขัดขวางของคนระหว่างสองตระกูลในสมัยก่อนเป็นละครเวทีอีกเรื่องหนึ่งที่นิยมกันมากแต่ในปัจจุบันมีการนำมาสร้างเป็นหนังแต่ยังคงความเป็นละครเวทีอยู่ ฉากที่ใช้แสดงนั้นก็มีความคลาสสิก ซึ่งเป็นละครที่โศกนาฏกรรมในตอบจบที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้เลย ในการดูหนังเรื่องนี้จะแตกต่างจากหนังเรื่องอื่นเป็นอย่างมากคือมีการใช้คำศัพท์ที่ฟังแล้วเข้าใจยาก ไม่ชินหูเมื่อฟังแล้วก็จะรู้สึกงงไม่ค่อยเข้าใจ  ในการดูหนังนั้นให้ทั้งความเพลิดเพลิน สนุกสนาน และยังให้แง่คิดดีๆอีกมากมายทำให้ผู้ดูนั้นนำไปปรับปรุงใช้ในชีวิตประจำวันได้ อีกทั้งการดูหนังอังกฤษนั้นยังให้ทักษะทางภาษาอังกฤษ คือทักษะการพูด เมื่อเราดูหนังแล้วเราก็พูดประโยคที่ตนเองสนใจตามตัวละคร เราไม่จำเป็นต้องพูดทุกประโยคที่ตัวละครพูด แต่เราเลือกเอาเฉพาะประโยคที่เราสนใจ เมื่อฝึกหลายๆครั้งเราก็จะเกิดความเคยชิน พูดภาษาอังกฤษได้ตรงตามสำเนียง การดูหนังนั้นไม่ใช่เพียงแค่ได้ทักษะการพูด แต่ยังได้ทักษะการฟัง อ่าน และเขียนอีกด้วย
ฝึกทักษะการอ่านโดยการอ่านเกี่ยวกับบทความต่างๆคือเรื่อง การขอร้องในภาษาอังกฤษ ด้วย Would/do you mind?และเรื่องการพูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศประเด็นแรกจะกล่าวถึงแรกการขอร้องในภาษาอังกฤษ ด้วย Would/do you mind? ประโยคขอร้องในภาษาอังกฤษนั้นก็มีการใช้กันอยู่หลายรูปแบบแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่ต้องการใช้ การขอร้องให้คนอื่นทำอะไรหรือช่วยอะไรนั้น ควรพูดให้สุภาพเข้าไว้มิฉะนั้นแล้วอาจจะได้รับการปฏิเสธได้โดยง่ายอย่างไรก็ตามการขอร้องมีหลายระดับ คือ ระดับธรรมดา สุภาพและสุภาพที่สุด หรือในเรื่องที่ยากง่ายต่างกัน ฉะนั้น จะขอร้องให้ทำหรือช่วยอะไรนั้น ควรใช้คำให้เหมาะสมกับระดับเหตุการณ์นั้นๆ ในการขอร้องใช้คำได้หลายวิธี หลายประโยค ในที่นี่อาจจำแนกประโยคต่างๆ ที่ใช้ในการขอร้องได้ดังต่อไปนี้ 1. ประโยคคำสั่ง (Command) ประโยคคำสั่งเป็นประโยคที่ขึ้นต้น ด้วยคำกริยาไม่มีประธาน เช่น Sit down. นั่งลง Open the window. เปิดหน้าต่างด้วย Don’t disturb her. อย่ารบกวนเธอ ประโยคชนิดนี้สร้างเป็นการขอร้องโดยการเติม Please (โปรด กรุณา) เข้าไป อาจจะวางต้นประโยค หรือท้ายประโยคก็ได้ การขอร้องด้วยประโยคชนิดนี้ ถือเป็นการขอร้องโดยตรง นิยมใช้โดยทั่วไป โดยมีรูปประโยคดังนี้ Please………….. กรุณา / โปรด  ………….please.   ตัวอย่างPlease sit down.กรุณานั่งลงOpen the window, please.กรุณาเปิดหน้าต่างด้วย
2. ประโยคบอกเล่า (Statement) การขอร้องอาจจะใช้เป็นรูปประโยคบอกเล่าธรรมดาก็ได้ แม้จะถือว่าเป็นการแสดงความต้องการของผู้พูดเองขึ้นมาลอยๆ โดยใช้กริยาที่แสดงออกถึงความต้องการ คือ want หรือ would like โดยการเติม Please เข้าท้ายประโยค ใช้ would like เป็นการสุภาพกว่า มีรูปประโยคดังนี้     I want …………, please.
ฉันต้องการ..……    I would like ………, please. ฉันต้องการ…………ตัวอย่าง  I want some water, please.
ฉันต้องการนํ้าบ้าง  I want a pen, please.ฉันต้องการปากกาด้ามหนึ่ง  I want some drinks, please.ฉันต้องการเครื่องดื่มสักอย่าง  เพื่อให้มีความหมายเป็นการขอร้องโดยตรง ในรูปประโยคบอกเล่า ใช้กริยา ask หรือ request (ขอร้อง) ได้เลย หรือแสดงความต้องการจะขอร้อง โดยนำด้วย want หรือ would like และตามด้วย infinitive ดังโครงสร้างต่อไปนี้   I ask you toฉันขอร้องคุณให้ช่วย   I request you to ฉันขอร้องคุณให้ช่วย  I want to ask you to
ฉันต้องการขอร้องคุณช่วย I want to request you to ฉันต้องการที่จะขอร้องคุณให้ช่วย  ตัวอย่าง   I ask you to open the window.ฉันขอร้องให้คุณช่วยเปิดหน้าต่าง   I ask you to help me with this.ฉันขอร้องคุณช่วยทำสิ่งนี้ด้วย
                3. ประโยคคำถาม (Question) การใช้รูปประโยคคำถามในการ ขอร้องนั้น ถือเป็นการขอร้องโดยอ้อมเป็นการถามกลายๆ ว่า จะทำอย่างนั้น ได้ไหม เป็นการแสดงความเกรงใจในการขอร้องนั้นๆ ซึ่งนิยมใช้กันมาก รูปคำถามที่ใช้มากคือ Yes/No Question แต่อย่างไรก็ตาม คำถามประเภทอื่นก็ใช้ในการขอร้องได้เช่นกัน ประโยคคำถามต่างๆ ที่ใช้ในการขอร้องมีโครงสร้างดังนี้ Yes/No Question :     Can / Will you…….., please?  Could / Would you please……., (please)?  Could / Would you kindly………..? Would you be so kind as to……..? Do / Would you mind………?  Tag Question :  ………,will you? ………,won’t you?  Wh- Question : What……., please?
Who………, please?(ect.)  Indirect Question :  I wonder if you…… I wonder if you’d mind…….
การใช้ประโยคคำถามชนิดต่างๆ ในการขอร้องนั้น มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้  -ประโยค Yes/No Question ใช้มากที่สุด เป็นทั้งการถามและ ขอร้องในตัวเสร็จว่าจะทำได้หรือไม่ จากโครงสร้างข้างบนนั้น  -ประโยค Tag Question ตามปกติใช้เฉพาะชนิดที่ท่อนแรกเป็นรูปคำสั่งเท่านั้น บางครั้งอาจจะถือว่ายังเป็นคำสั่งอยู่นั้นเอง แต่ในที่นี่จัดเป็นการขอร้องอีกระดับหนึ่งไม่ค่อยนิยมใช้กันมากนัก จากโครงสร้างข้างบนนั้นประโยคเช่นนี้ถือว่าเป็นคำสั่งโดยอ้อม ซึ่งมีความหมายสุภาพกว่า คำสั่งโดยตรง
-ประโยค Wh-Question เป็นรูปคำถามธรรมดา แล้วเติม please เข้าท้ายประโยค ถือว่าเป็นการขอร้องโดยอ้อมอีกแบบหนึ่ง เป็นการขอร้องระดับธรรมดา   การขอร้องวิธีนี้ นิยมใช้กับเหตุการณ์หรือสถานการณไม่มากนัก  -ประโยค Indirect Question นิยมใช้ในการขอร้องเช่นกัน เป็น การขอร้องโดยอ้อมเช่นเดียวกับ Yes/No Question ที่จริงแล้วประโยคชนิดนี้ก็คือประโยคบอกเล่านั้นเอง กริยาที่นิยมใช้สำหรับประโยคชนิดนี้ ก็คือกริยาที่แสดงถึงความสงสัย ไม่แน่ใจ ได้แก่ wonder (สงสัย) ข้อสังเกตของประโยค Indirect Question คือ -การใช้กริยารูปอดีต (past) คือ could, would ไม่มีความหมาย เป็นอดีต แต่แสดงถึงความสุภาพหรือเกรงใจว่า can และ will และใช้ would like สุภาพกว่า want
-การขอร้องรูปคำถาม Yes/No นั้นแตกต่างจากคำถามธรรมดา โดยเติม Please เข้าไปเพื่อแสดงการขอร้อง และตอบแตกต่างกัน โดยคำถามธรรมดาตอบ Yes/No แต่การขอร้องตอบ Yes, of course หรือ I’m sorry … -การขอร้องที่ใช้ Do / Would you mind + v-ing เมื่อตอบรับ ใช้รูปเป็นปฏิเสธ คือ Of course not / Certainly not ซึ่งความหมายจริงๆ
                Would/do you mind? เป็น วิธีที่จะทำให้ใครบางคนทำอะไรหรือให้อะไรแก่เรามีหลายวิธีการ: อาทิเช่น; การเสนอเงินตรา,ชื่อเสียง, และ ตำแหน่ง. วิธีเหล่านี้อาจจะพูดได้ว่าเป็นวิธีที่ดีมาก, เพราะคนส่วนใหญ่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว. แต่ที่แน่ๆ, คงมีเพียงคนไม่กี่คนที่ชอบให้ถูกสั่ง, ด่า, หรือว่า, แล้วจึงปฎิบัติตามสิ่งที่เราประสงค์. การขอร้องเป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งสามารถทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอร้องแบบสุภาพและคนจำนวนมากนิยมใช้วิธีนี้; ยกเว้นกลุ่มบุคคลที่มีเงินตรามหาศาล, มีบ้านหลายหลัง, มีคลังอาวุธ, เป็นมนุษย์ที่มีอำนาจและบารมีทั่วทุกตารางนิ้วของปฐพี พวกเขาเหล่านี้ต้องการอะไรไม่จำเป็นต้องขอร้องใคร สั่งอย่างเดียว. จะมีใครสักกี่คนที่กล้าพูดว่า ไม่”? การขอร้องแบบสุภาพในภาษาอังกฤษนั้นมีหลายสำนวนซึ่งน่าจดจำ, และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อเป็นการเสริมสร้างทักษะของภาษาให้ดีขึ้นและสวยงามอีกด้วย. สำนวนแรกที่ใช้บ่อยและสุภาพ: 1) Would/do you mind?ใช้เพื่อขอร้องใครบางคนอย่างสุภาพเพื่อให้ใครคนนั้นทำบางสิ่งแก่คุณหรืออนุญาตให้คุณทำสิ่งที่คุณต้องการตัวอย่างเช่น  I would like to ask you one question - do you mind?ฉันต้องการถามคุณหนึ่งคำถาม คุณรังเกียจไหม? Would you mind if I kissed you? คุณรังเกียจไหมถ้าผมจะจูบคุณ?
                2) Would/could you do me a favor?ใช้เพื่อขอร้องใครบางคนเพื่อให้ใครคนนั้นทำบางสิ่งแก่คุณหรือช่วยเหลือคุณในบางสิ่ง. การใช้ “do me a favor” อย่างเดียวมีความไม่เป็นทางการมากกว่าการกล่าวตัวอย่างเช่น Would you do me a favor and call Susan to tell her I'll be late for dinner? ผมขอรบกวนคุณช่วยกรุณาโทรหาซูซานและบอกหล่อนว่าผมจะไปช้าสำหรับอาหารเย็นได้ไหม?  3) I would be grateful if you could/I would appreciate it if you could ใช้สำนวนเหล่านี้ในภาษาที่เป็นทางการหรือในจดหมายธุระกิจเพื่อขอร้องใครบางคนทำบางสิ่งสำหรับคุณ. ตัวอย่างเช่น   I would be grateful if you could send the information about your company to us. ฉันจะขอบคุณถ้าคุณสามารถส่งข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของคุณแก่เรา.    4) Could you/would you/can you?ใช้สำนวนเหล่านี้เพื่อขอร้องใครบางคนทําบางสิ่งสําหรับคุณตัวอย่างเช่น Could you hold this bag while I get my keys? คุณช่วยกรุณาถือถุงนี้สักครู่ขณะที่ฉันเอากุญแจของฉันได้ไหม?   5) Excuse me/pardon meใช้คำเหล่านี้เพื่อให้ได้รับความสนใจหรือขัดจังหวะขณะที่ เขา/หล่อน กําลังทำบางสิ่งอยู่เมื่อคุณต้องการขอร้อง เขา/หล่อน บางสิ่งตัวอย่างเช่น Excuse me, could you scoot over? ขอโทษนะ, คุณช่วยขยับหน่อยได้ไหม?
                จะเห็นได้ว่าการพูดประโยคของร้องจะมีด้วยกันหลายประเภทซึ่งผู้ที่พูดนั้นก่อยจะนำไปพุดจะต้องสังเกตุสถานการณ์ก่อน หรือหากจะพูดกับบุคลใดก็ต้องสังเกตด้วยว่าเขาคนนั้นเป็นใคร การพูดประโยคขอร้องเราจะพูดแบบพร่ำเพรื่อไม่ได้ก่อนจะพูดตระหนักถึงน้ำเสียงและอารมณ์ของผู้พูดเองโดยการใช้อารมณ์และการสั่งการโดยใช้นํ้าเสียงที่สูง (High-pitched tone of voice) โอกาสที่จะได้ดังหวังคงน้อย เพราะจะเห็นได้ว่าคนส่วนมากไม่ชอบถูกด่าและถูกว่า  ตัวเราเองยังไม่ชอบเลยแล้วคนอื่นก็เช่นกัน ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่คุณพูดมันอยู่ที่คุณพูดอย่างไร  น้ำเสียงและอารมณ์ของผู้พูดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะจะบ่งบอกความรู้สึกของผู้พูดเมื่อผู้ฟัง ฟังแล้วบางครั้งอาจจะคิดว่าเป็นคำสั่งเลยก็ได้   ถ้าคุณอยากให้ใครทําอะไรให้, คุณต้องพูดกับบุคคลนั้นดีๆและมีเหตุผล,ซึ่งบุคคลที่ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่คงจะสนองตอบต่อความต้องการของคุณ  ประการที่สองจะอ่านเกี่ยวกับการพูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศข่าวสภาพอากาศก็เป็นส่วนหนึ่งที่คนต้องการรู้ในชีวิตประจำวัน จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าบทความอื่นๆ การถามสภาพอากาศ บอกสภาพอากาศ หรือพูดว่าอากาศกำลังจะการคาดคะเนว่าอากาศเป็นอย่างไร การใช้คำอุทานเกี่ยวกับสภาพอากาศ การใช้ Question tag ใช้ในการพูดแสดงความคิดเห็น การกล่าวถึงสภาพอากาศแบบต่างๆ และถามว่าอากาศเป็นอย่างไรบ้าง
weather- สภาพอากาศ  เป็นคำที่ใช้แสดงภาวะของอากาศภาคตามช่วงเวลาของบริเวณใดบริเวณหนึ่ง  ภูมิอากาศ  - climate  เป็นสภาวะเฉลี่ยของสภาพอากาศของบริเวณกว้างๆ  ในช่วงเวลาหนึ่ง   สภาพอากาศจะอธิบายถึงสภาวะของอุณหภูมิ  เมฆ  ฝน  และหิมะ   บริเวณที่มีสภาพอากาศดี  -Fine  weather  -  จะมีสภาวะความกดอากาศสูง  โดยอากาศจะลดระดับลงต่ำ  บริเวณที่สภาพอากาศมีเมฆมาก  -Cloudy-  มีความชื้นสูง  จะมีความกดอากาศต่ำ  อากาศจะลอยตัวสูงขึ้น   ทำให้สภาพอากาศบริเวณนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย   สภาวะอากาศเช่นนี้  เกิดในบริเวณเส้นละติจูดอบอุ่น-temperate  latitudes   ซึ่งเป็นบริเวณที่อากาศร้อนพบกับอากาศเย็น   จากบริเวณแนวขั้วโลก  (polar  fronts)  ในเขตนี้วงจรหมุนของอากาศที่มีความกดดันต่ำ  ซึ่งรู้จักกันว่า  ดีเปรสชั่น  - depressions  (  พายุหมุนในละติจูดกลาง  - mid-latitude  cyclones)   จะเกิดขึ้นบ่อยๆ  ดีเปรสชั่นมักจะประกอบด้วยส่วนของลมร้อน  เริ่มจากแนวอากาศอบอุ่น  - warm  front  ไปจนถึงแนวอากาศเย็น  -cold  front     เมื่อแนวอากาศทั้งสองประทะกัน  ทำให้เกิดแนวอากาศรวม  -occluded   front  
อากาศร้อนจะดันตัวสูงขึ้น ทำให้บริเวณนั้นมีสภาพความกดอากาศลดต่ำลงอย่างรุนแรง  มีผลทำให้เกิดพายุหมุนเฮอริเคน -hurricane   (พายุหมุนที่เกิดขึ้นในสภาวะอากาศแบเดียวกัน  ได้แก่  ไต้ฝุ่น   - typhoon  หรือพายุโซนร้อน  - tropical  cyclone )   สภาวะอากาศนี้จะทำให้เกิดฝนตกอย่างรุนแรง  และมีลมพัดแรงเป็นพิเศษ โดยเราสมารถถามคำถามเกี่ยวกับสภาพอากาศได้ดังนี้คือ What’s the weather like?อากาศเป็นอย่างไรบ้าง How is the weather (today)? (วันนี้) อากาศเป็นอย่างไรบ้าง และสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับสภาพอากาศได้คือการบอกสภาพอากาศ ให้ใช้ “ It’s…” หรือ “The weather is…” ตามด้วย Noun หรือ Adj. เช่น sunny ,cloudy, windy, droughty และถ้าจะพูดว่า อากาศกำลังจะ….” ให้ใช้ “ It’s going to+N.” หรือ “ It will be+adj.” ดังต่ออย่างต่อไปนี้ เช่น It’s going to freeze tonight.   เราสามารถคาดคะเนว่าอากาศจะเป็นอย่างไรได้โดย ให้ใช้ “ I think+ประโยค”  แปลว่า ดิฉันคิดว่า (อากาศ) กำลังจะ…” ดังตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษต่อไปนี้ I thank it’s clearing up.นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างการอุทานสภาพอากาศ การอุทานมักแสดงออกมาเพื่อสื่ออารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูดเพื่อเน้นความรู้สึก และอารมณ์ของผู้พูดมากขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้ What’s a nice day!การใช้ Question Tag ที่มีรูปประโยค “…, isn’t it?” ใช้ในการพูด แสดงความเห็นของตัวเอง แล้วถามคู่สนทนาว่าเห็นด้วยหรือไม่เช่น Nice day,isn’t it?
และทักษะสุดท้ายก็คือทักษะการเขียน การเขียนนั้นเราสามารถทำได้โดยการหยิบคำศัพท์จากสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือ บทความ บทเพลง การ์ตูน เมื่อเราอ่าน หรือ ฟังแล้วไม่เข้าใจคำศัพท์นั้น หรือประโยคนั้นดูน่าสนใจ ดูแปลกตา เราก็สมารถนำมาจดและเขียนลงในสมุดของเรา เวลาที่เราอยากจะเปิดอ่านและทำความเข้าใจเราก็สามารถเปิดอ่านได้ทันทีทำให้เราสามารถนำคำเหล่านี้ไปใช้พูดจริงในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งในที่นี้ก็จะนำ       คำศัพท์,สำนวน และวลีที่น่าสนใจ ในเพลง Roar ของ Katy Perryซึ่งมีคำต่างๆเหล่านี้คือ ROAR อ่านว่า รอร์แปลว่า เสียงคำราม จะใช้กับสัตว์ใหญ่ๆ อย่างเช่น เสือ สิงโต เป็นต้น Rock the Boat อ่านว่า ร็อค เดอะ โบ้ทถ้าแปลตรงตัว ก็จะประมาณว่า โยกเรือ ทำเรือให้โคลงเคลง แต่ถ้าแปลให้เป็นสำนวนไทยๆ ก็น่าจะตรงกับสำนวน ชักใบให้เรือเสียซึ่งความหมายก็คือ ทำให้เรื่องราวมันเสียหาย ก่อให้เกิดผลลัพธ์ด้านลบ  Mess อ่านว่า เมซแปลว่า ยุ่ง คำนี้เป็น Verb ถ้าเป็น Adjective จะใช้คำว่า Messy … คล้ายๆ กับชื่อนักฟุตบอลทีมต่างดาว  Brushing Off อ่านว่า บรัชชิ่ง ออฟแปลได้ 2 ความหมายคือ  แปลตรงตัว หมายถึง ทำความสะอาด  แปลแบบสำนวน หมายถึง ไม่สนใจใยดี
ในการเรียนรู้นอกห้องเรียนครั้งนี้ได้ใช้ทักษะทั้ง 4 ทักษะ คือฟัง พูด อ่าน และเขียน ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ การเก่งภาษาอังกฤษนั้นจะต้องมั่นฝึกและเรียนรู้อยู่บ่อยๆในการเรียนนอกห้องเรียนครั้งนี้ผู้เรียนจึงเลือกที่จะฝึกทักษะการฟังโดยการฟังเพลงซึ่งเพลงแรกคือเพลง Roar  แปลว่า เสียงคำราม ซึ่งเป็นเพลงที่มีถ่วงทำนองที่เร็วฟังแล้วตื่นเต้นและเพลงที่สองคือเพลง Jessie J – Flashlight แปลว่าคือแสงไฟของฉัน เป็นเพลงช้าฟังสบายๆ ซึ่งความหมายและช่วงทำนองนั้นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง   ฝึกทักษะการพูดโดยการดูหนังเรื่อง romeo and juliet  ซึ่งการฝึกพูดนั้นเราก็จะเกิดความเคยชิน พูดภาษาอังกฤษได้ตรงตามสำเนียง การดูหนังนั้นไม่ใช่เพียงแค่ได้ทักษะการพูด แต่ยังได้ทักษะการฟัง อ่าน และเขียนอีกด้วย  ฝึกทักษะการอ่านโดยการอ่านเกี่ยวกับบทความต่างๆคือเรื่อง การขอร้องในภาษาอังกฤษ ด้วย Would/do you mind?และเรื่องการพูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศ เชื่อซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เป็นประโยคที่เราใช้กันบ่อยในปัจจุบันและทักษะสุดท้ายคือการฝึกทักษะการเขียนโดยการดูหนังและฟังเพลงซึ่งจะจดคำศัพท์หรือประโยคที่ตนเองยังไม่รู้หรือคุ้นเคย จะเห็นได้ว่าผู้เรียนได้ฝึกทักษะทั้ง 4 นี้บ่อยครั้งแล้วก็จะเกิดความเคยชิน และทำให้ผู้เรียนนั้นมีความชำนาญในด้านภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น

http://www.aelitaxtranslate.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Hello

Hello

วริษา ฤทธิราช

แนะนำตัวฉัน

ชื่อ : นางสาววริษา ฤทธิราช
ชื่อเล่น : ษา
ที่อยู่ : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
E-mail : WarisaRittirat@gmail.com