วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning Log 6 นอก


Learning Log 6

นอกห้องเรียน
            ในการศึกษานอกห้องเรียนครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวทักษะการอ่านเรื่องพื้นฐานการเก่งไวยากรณ์ภาษาอังกฤษคือหยุดปัญหาปวดหัวเรื่องคำนาม(noun)ให้ได้ด้วยการใช้ถูกต้อง ปัญหาที่น่าปวดหัวเป็นอันดับต้นๆสำหรับการเรียนเรื่องไวยากรณ์อังกฤษ นั้นคือการเขียนและการสะกดคำนามหรือ (noun) ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทำให้สอบได้คะแนนน้อยอีกทั้งยังส่งผลต่อการเรียนโดยรวม ซึ่งสาเหตุจากการเขียนและสะกด noun ไม่ถูกต้องนั้น  เนื่องมาจากเด็กส่วนใหญ่ชินกับการใช้คำนามในภาษาไทย เพราะในภาษาไทยตัวอักษรทุกประเภทไม่มีการกำหนดขนาดของตัวอักษร เหมือนกับภาษาอังกฤษ
           
                    เพื่อหยุดปัญหาเรื่องของ noun ให้สามารถเขียนและสะกดได้ถูกต้องสิ่งผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ก็คือ หลักการสอนในแบบ Contrastive Analysis มีดังนี้คือ 1 ต้องเข้าใจประเภทของคำนาม ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คำนามเฉพาะ(Proper noun) กับคำนามทั่วไป(common noun)   คำนามเฉพาะ(Proper noun)คือนามปกติทั่วไปหรือที่เรียกว่า วิสามัญนาม เป็นชื่อที่ตั้งให้กับคน สัตว์ สถานที่ต่างๆ ซึ่งทุกครั้งที่เขียน Proper nouns  ในภาษาอังกฤษจะต้องสะกดตัวแรกของคำด้วยอักษรตัวใหญ่ หากชื่อนั้นเป็น  Proper noun มีคำเดียว ก็จะสะกดอักษรตัวแรกของคำด้วยอักษรตัวใหญ่ และถ้าหากชื่อนั้นเป็น Proper noun มีสองคำก็จะสะกดอักษรตัวแรกของแต่ละคำด้วยอักษรตัวใหญ่
            คำนามทั่วไป(Common noun)หรือที่เรียกว่า สามัญนาม เป็นคำเรียกใช้ สิ่งมีชีวิตคือคนและสัตว์ทุกประเภท และสิ่งไม่มีชีวิตคือ สิ่งของ รวมถึงอาหาร พืช ความคิด และความรู้สึกต่างๆทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม  2 การแก้ปัญหาความสับสนในการเขียนหรือสะกดคำคำนามเฉพาะ(Proper noun) และคำนามทั่วไป(common noun)   ให้ถูกต้องเป็นการแก้ปัญหาที่เรามักจะสับสน ด้วยการเอาคำนามทั่วไป(common noun)   มาตั้งเป็นชื่อคำนามเฉพาะ(Proper noun)ซึ่งต้องระมัดระวังในการเขียนหรือสะกดคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะที่ตั้งจาก common nounในทำนองเดียวกัน มักจะตั้งชื่อสัตว์เลี้ยง ชื่อสถานที่ หรือชื่อทางการค้าต่างๆโดยที่ใช้คำที่เรียกสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น ตั้งชื่อยี่ห้อปากกาว่า Horse (ปากกาตราม้า)
            ในขณะเดียวกันในบางครั้งมักจะออกแบบการเขียนหรือสะกดคำนามเฉพาะ(Proper noun)ให้แตกต่างออกไปจากปกติ เพื่อสร้างรูปแบบของคำเฉพาะขึ้นมา และการแก้ปัญหาความสับสนในการใช้คำนามที่เป็นเอกพจน์และคำนามที่เป็นพหูพจน์ ซึ่งจะแก้ปัญหาด้วยการอธิบายโดยนำความสัมพันธ์ของคำนามทั้ง 2 ประเภทใหญ่ ประการแรกคือ ต้องจำไว้เสมอว่าตามปกติ proper noun เป็นเอกพจน์ ยกเว้นว่าจะมีคนชื่อเดียวกันหลายคน หรือมีสถานที่ชื่อเดียวกันหลายแห่ง ประการที่สอง noun ที่เป็นนามธรรมหรือ abstract noun นั้นต้องเป็นเอกพจน์เสมอ หากจะใช้ abstract noun ในเชิงพหูพจน์ จะต้องใช้ noun สามารถนับจำนวนได้มาใช้คู่กัน
            นอกจากนี้จะต้องเข้าใจพจน์ของคำนาม  ซึ่งในภาษาอังกฤษจะมี 2 พจน์คือ เอกพจน์กับพหูพจน์ซึ่งในที่นี้เรียกว่า singular noun และ plural noun โดย singular noun จัดแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆได้ดังนี้คือ singular noun ที่ลงท้ายด้วยตัวอักษร o, singular noun ที่ลงท้ายด้วยตัวอักษร y,
singular noun ที่ลงท้ายด้วยตัวอักษร s, ss, sh , ch, x, z , singular noun ที่ลงท้ายด้วยตัวอักษร f และ fe , singular noun ที่ทำเป็น plural noun ได้โดยการเปลี่ยนแปลงตัวสะกดภายในคำ , กลุ่มคำที่เป็นได้ทั้ง singular noun และ plural noun  , กลุ่มของ noun ที่ลงท้ายด้วยอักษร s เหมือน plural noun  แต่จริงๆแล้วกลับเป็น singular noun, กลุ่มของ noun ที่มีรูปเป็น singular noun แต่จริงๆแล้วกลับเป็น plural noun  และกลุ่มที่มีความหมายแตกต่างกัน เมื่อเป็น singular noun จะมีความหมายหนึ่งและเมื่อเป็น plural noun  ก็จะมีความหมายอีอย่างหนึ่ง
            3.เข้าใจหน้าที่และความสำคัญของคำนามซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยาก หน้าที่ของ noun ในประโยคคือ ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject) หรือเป็นกรรม (object) ซึ่งในประโยคหนึ่งอาจมี noun มากกว่าหนึ่งคำ เพราะ noun เป็นได้ทั้งประธานของประโยคหลัก ประธานของประโยคย่อย กรรมของกริยาในประโยคหลัก กรรมของประโยคย่อย และเป็นกรรมของคำบุพบท หากผู้เรียนสามารถจดจำ noun ได้หลายคำและรู้ตำแหน่งหน้าที่ต่างๆของ noun  ผู้เรียนก็สามารถผูกหรือสร้างประโยคภาษาอังกฤษที่มีรูปแบบคล้ายๆกันได้หลายประโยค  โดยการแทนที่ noun คำใหม่ เพื่อให้เกิดความหมายใหม่
            4.ต้องรู้จักคำนำหน้านาม noun หรือคำขยาย noun (Determiners) อย่างถูกหลัก เพื่อให้งานได้ถูกต้อง เนื่องจากคำนำหน้านามเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากในภาษาอังกฤษ คนส่วนใหญ่มักจะลืมคำนำหน้า noun เพราะมันเป็นสิ่งที่ภาษาไทยไม่มี ในภาษาอังกฤษ noun จะไม่อยู่เพียงลำพัง จะต้องมีคำนำหน้าในลักษณะใดลักษณะหนึ่งอยู่ด้วย คำนำหน้านามจะมีด้วยกัน 5 ประเภท คือ Articles หรือคำนำหน้า noun , Demonstrative หรือคำชี้เฉพาะ, Possessive หรือคำแสดงความเป็นเจ้าของ, Quantifiers หรือคำแสดงปริมาณ  และ Numerals หรือคำบอกจำนวน
            Articles คำนำหน้า noun มี 2 ประเภทคือ 1 Indefinite articles คำนำหน้า noun ชนิดไม่ชี้เฉพาะเจาะจง คือ a และ an เช่น Give me a pen. โดยจะมีกฎเกณฑ์ในการใช้ a และ an ดังนี้คือ ใช้กับคำนามนับได้(countable noun) ใช้คำนามเอกพจน์(singular noun) ใช้เมื่อไม่ต้องการชี้เฉพาะเจาะจง หรือ  - ใช้เมื่อกล่าวถึง noun นั้นๆเป็นครั้งแรก – an จะใช้กับ noun ที่สะกดขึ้นต้นด้วยสระ a,e,i,o,u เท่านั้น 2 Definite articles คำนำหน้า noun ชนิดชี้เฉพาะเจาะจงคือคำว่า the เช่น The pink shirt is in the closet.
            โดยมีกฎเกณฑ์การใช้ the ดังนี้ คือ  ใช้ได้กับนามทั้งนับได้และนับไม่ได้ ใช้กับนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ ใช้เมื่อต้องการชี้เฉพาะเจาะจง หรือ  - ใช้เมื่อกล่าวถึง noun นั้นๆเป็นครั้งที่สองขึ้นไป – the สามารถใช้กับ noun ทั้งที่สะกดขึ้นต้นด้วยสระและพยัญชนะ ต่อไปคือ  Demonstrative หรือคำชี้เฉพาะ คำชี้เฉพาะเช่นคำว่า this,these ซึ่งมีความหมายว่า นี้และคำว่า that,those ซึ่งมีความหมายว่า นั้นโดยจะมีกฎเกณฑ์การใช้คำชี้เฉพาะเหล่านี้คือ ใช้เพื่อชี้เฉพาะเจาะจงคำนามนั้นๆ ใช้ this และ that กับคำนามที่เป็นเอกพจน์ ใช้ these และ those กับคำนามที่เป็นพหูพจน์
            Possessive หรือคำแสดงความเป็นเจ้าของ  ซึ่งคำแสดงความเป็นเจ้าของนี้ถือว่าเป็นคำคุณศัพท์ (Adjective) ประเภทหนึ่ง กฎในการใช้มีง่ายๆคือ  วางไว้ข้างหน้าคำนามเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของใคร จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่มีปัญหาในการใช้คำแสดงความเป็นเจ้าของซึ่งในภาษาไทยนั้นไม่มีคำประเภทนี้ จะแสดงความเป็นเจ้าของได้โดยการใช้คำว่า ของเติมลงด้านหน้าของคำนามหรือสรรพนามแค่นั้น เช่น ของฉันเงินของฉัน แต่ในภาษาอังกฤษ คำแสดงความเป็นเจ้าของจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คำที่เป็นคุณศัพท์และคำที่เป็นสรรพนาม
            Quantifiers หรือคำแสดงปริมาณ ซึ่งคำแสดงปริมาณใช้เติมด้านหน้า noun เพื่อแสดงปริมาณของ noun นั้นๆ บางคำสามารถใช้ได้กับทั้งคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้ บางคำก็จะใช้กับ noun ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ Numerals หรือคำบอกจำนวน  คำบอกจำนวนนั้นก็คือ จำนวนตัวเลขนั้นเอง ใช้วางไว้ด้านหน้า noun เพื่อใช้บอกจำนวนนับของสิ่งนั้นคำนำหน้า noun ประเภทนี้จะใช้กับคำนามนับได้(countable noun)เท่านั้น เช่น He bought ten roses.
            จะเห็นได้ว่าการแบ่ง noun ออกเป็นหลายๆกลุ่มที่มีการใช้งานโดยทั่วไปในภาษาอังกฤษนั้นจะแตกต่างกับภาษาไทยผู้ใช้จึงต้องคำนึงถึงสิ่งนี้อยู่เสมอ  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพื้นฐานการเก่งไวยากรณ์ภาษาอังกฤษคือหยุดปัญหาปวดหัวเรื่องคำนาม(noun) ผู้เรียนจะต้องเข้าใจประเภทของคำนาม   แก้ปัญหาความสับสนในการเขียนหรือสะกดคำนามเฉพาะ(Proper noun) และคำนามทั่วไป(common noun)   ให้ถูกต้อง  เข้าใจหน้าที่และความสำคัญของคำนาม และรู้จักคำนำหน้านาม noun หรือคำขยาย noun เมื่อเราเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้แล้วเราก็จะเกิดความเข้าใจ สอบได้คะแนนที่ดี และสามาถนำไปต่อยอดให้ในครั้งต่อไปได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Hello

Hello

วริษา ฤทธิราช

แนะนำตัวฉัน

ชื่อ : นางสาววริษา ฤทธิราช
ชื่อเล่น : ษา
ที่อยู่ : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
E-mail : WarisaRittirat@gmail.com