Learning Log 6
นอกห้องเรียน
ในการศึกษานอกห้องเรียนครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวทักษะการอ่านเรื่องพื้นฐานการเก่งไวยากรณ์ภาษาอังกฤษคือหยุดปัญหาปวดหัวเรื่องคำนาม(noun)ให้ได้ด้วยการใช้ถูกต้อง
ปัญหาที่น่าปวดหัวเป็นอันดับต้นๆสำหรับการเรียนเรื่องไวยากรณ์อังกฤษ นั้นคือการเขียนและการสะกด”คำนาม” หรือ (noun) ไม่ถูกต้อง
ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทำให้สอบได้คะแนนน้อยอีกทั้งยังส่งผลต่อการเรียนโดยรวม
ซึ่งสาเหตุจากการเขียนและสะกด noun ไม่ถูกต้องนั้น
เนื่องมาจากเด็กส่วนใหญ่ชินกับการใช้คำนามในภาษาไทย
เพราะในภาษาไทยตัวอักษรทุกประเภทไม่มีการกำหนดขนาดของตัวอักษร เหมือนกับภาษาอังกฤษ
เพื่อหยุดปัญหาเรื่องของ noun ให้สามารถเขียนและสะกดได้ถูกต้องสิ่งผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ก็คือ หลักการสอนในแบบ Contrastive Analysis มีดังนี้คือ 1 ต้องเข้าใจประเภทของคำนาม ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คำนามเฉพาะ(Proper noun) กับคำนามทั่วไป(common noun) คำนามเฉพาะ(Proper noun)คือนามปกติทั่วไปหรือที่เรียกว่า วิสามัญนาม เป็นชื่อที่ตั้งให้กับคน สัตว์ สถานที่ต่างๆ ซึ่งทุกครั้งที่เขียน Proper nouns ในภาษาอังกฤษจะต้องสะกดตัวแรกของคำด้วยอักษรตัวใหญ่ หากชื่อนั้นเป็น Proper noun มีคำเดียว ก็จะสะกดอักษรตัวแรกของคำด้วยอักษรตัวใหญ่ และถ้าหากชื่อนั้นเป็น Proper noun มีสองคำก็จะสะกดอักษรตัวแรกของแต่ละคำด้วยอักษรตัวใหญ่
คำนามทั่วไป(Common noun)หรือที่เรียกว่า สามัญนาม เป็นคำเรียกใช้
สิ่งมีชีวิตคือคนและสัตว์ทุกประเภท และสิ่งไม่มีชีวิตคือ สิ่งของ รวมถึงอาหาร พืช
ความคิด และความรู้สึกต่างๆทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม 2 การแก้ปัญหาความสับสนในการเขียนหรือสะกดคำคำนามเฉพาะ(Proper
noun) และคำนามทั่วไป(common noun) ให้ถูกต้องเป็นการแก้ปัญหาที่เรามักจะสับสน
ด้วยการเอาคำนามทั่วไป(common noun) มาตั้งเป็นชื่อคำนามเฉพาะ(Proper noun)ซึ่งต้องระมัดระวังในการเขียนหรือสะกดคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะที่ตั้งจาก common
nounในทำนองเดียวกัน มักจะตั้งชื่อสัตว์เลี้ยง ชื่อสถานที่
หรือชื่อทางการค้าต่างๆโดยที่ใช้คำที่เรียกสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น
ตั้งชื่อยี่ห้อปากกาว่า Horse (ปากกาตราม้า)
ในขณะเดียวกันในบางครั้งมักจะออกแบบการเขียนหรือสะกดคำนามเฉพาะ(Proper noun)ให้แตกต่างออกไปจากปกติ
เพื่อสร้างรูปแบบของคำเฉพาะขึ้นมา และการแก้ปัญหาความสับสนในการใช้คำนามที่เป็นเอกพจน์และคำนามที่เป็นพหูพจน์
ซึ่งจะแก้ปัญหาด้วยการอธิบายโดยนำความสัมพันธ์ของคำนามทั้ง 2 ประเภทใหญ่ ประการแรกคือ ต้องจำไว้เสมอว่าตามปกติ proper noun เป็นเอกพจน์ ยกเว้นว่าจะมีคนชื่อเดียวกันหลายคน
หรือมีสถานที่ชื่อเดียวกันหลายแห่ง ประการที่สอง noun ที่เป็นนามธรรมหรือ
abstract noun นั้นต้องเป็นเอกพจน์เสมอ หากจะใช้
abstract noun ในเชิงพหูพจน์ จะต้องใช้ noun สามารถนับจำนวนได้มาใช้คู่กัน
นอกจากนี้จะต้องเข้าใจพจน์ของคำนาม ซึ่งในภาษาอังกฤษจะมี 2 พจน์คือ เอกพจน์กับพหูพจน์ซึ่งในที่นี้เรียกว่า singular
noun และ plural noun โดย singular
noun จัดแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆได้ดังนี้คือ singular noun ที่ลงท้ายด้วยตัวอักษร o, singular noun
ที่ลงท้ายด้วยตัวอักษร y,
singular noun ที่ลงท้ายด้วยตัวอักษร s, ss, sh
, ch, x, z , singular noun ที่ลงท้ายด้วยตัวอักษร f และ fe , singular noun ที่ทำเป็น plural
noun ได้โดยการเปลี่ยนแปลงตัวสะกดภายในคำ , กลุ่มคำที่เป็นได้ทั้ง
singular noun และ plural noun , กลุ่มของ noun ที่ลงท้ายด้วยอักษร s เหมือน plural
noun แต่จริงๆแล้วกลับเป็น singular
noun, กลุ่มของ noun ที่มีรูปเป็น singular
noun แต่จริงๆแล้วกลับเป็น plural noun และกลุ่มที่มีความหมายแตกต่างกัน
เมื่อเป็น singular noun จะมีความหมายหนึ่งและเมื่อเป็น plural
noun ก็จะมีความหมายอีอย่างหนึ่ง
3.เข้าใจหน้าที่และความสำคัญของคำนามซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยาก
หน้าที่ของ noun ในประโยคคือ ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject) หรือเป็นกรรม (object) ซึ่งในประโยคหนึ่งอาจมี noun
มากกว่าหนึ่งคำ เพราะ noun เป็นได้ทั้งประธานของประโยคหลัก
ประธานของประโยคย่อย กรรมของกริยาในประโยคหลัก กรรมของประโยคย่อย
และเป็นกรรมของคำบุพบท หากผู้เรียนสามารถจดจำ noun ได้หลายคำและรู้ตำแหน่งหน้าที่ต่างๆของ
noun ผู้เรียนก็สามารถผูกหรือสร้างประโยคภาษาอังกฤษที่มีรูปแบบคล้ายๆกันได้หลายประโยค โดยการแทนที่ noun คำใหม่
เพื่อให้เกิดความหมายใหม่
4.ต้องรู้จักคำนำหน้านาม noun หรือคำขยาย
noun (Determiners) อย่างถูกหลัก
เพื่อให้งานได้ถูกต้อง
เนื่องจากคำนำหน้านามเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากในภาษาอังกฤษ
คนส่วนใหญ่มักจะลืมคำนำหน้า noun เพราะมันเป็นสิ่งที่ภาษาไทยไม่มี
ในภาษาอังกฤษ noun จะไม่อยู่เพียงลำพัง
จะต้องมีคำนำหน้าในลักษณะใดลักษณะหนึ่งอยู่ด้วย คำนำหน้านามจะมีด้วยกัน 5 ประเภท คือ Articles หรือคำนำหน้า noun ,
Demonstrative หรือคำชี้เฉพาะ, Possessive หรือคำแสดงความเป็นเจ้าของ,
Quantifiers หรือคำแสดงปริมาณ
และ Numerals หรือคำบอกจำนวน
Articles คำนำหน้า noun มี 2 ประเภทคือ 1
Indefinite articles คำนำหน้า noun ชนิดไม่ชี้เฉพาะเจาะจง
คือ a และ an เช่น Give me a
pen. โดยจะมีกฎเกณฑ์ในการใช้ a และ an ดังนี้คือ – ใช้กับคำนามนับได้(countable
noun) – ใช้คำนามเอกพจน์(singular noun) – ใช้เมื่อไม่ต้องการชี้เฉพาะเจาะจง หรือ - ใช้เมื่อกล่าวถึง noun นั้นๆเป็นครั้งแรก –
an จะใช้กับ noun ที่สะกดขึ้นต้นด้วยสระ a,e,i,o,u
เท่านั้น 2 Definite articles คำนำหน้า noun
ชนิดชี้เฉพาะเจาะจงคือคำว่า the เช่น The
pink shirt is in the closet.
โดยมีกฎเกณฑ์การใช้
the ดังนี้ คือ – ใช้ได้กับนามทั้งนับได้และนับไม่ได้ – ใช้กับนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์
– ใช้เมื่อต้องการชี้เฉพาะเจาะจง หรือ
- ใช้เมื่อกล่าวถึง
noun นั้นๆเป็นครั้งที่สองขึ้นไป – the สามารถใช้กับ noun ทั้งที่สะกดขึ้นต้นด้วยสระและพยัญชนะ
ต่อไปคือ Demonstrative หรือคำชี้เฉพาะ คำชี้เฉพาะเช่นคำว่า this,these ซึ่งมีความหมายว่า
“นี้” และคำว่า that,those ซึ่งมีความหมายว่า “นั้น” โดยจะมีกฎเกณฑ์การใช้คำชี้เฉพาะเหล่านี้คือ
– ใช้เพื่อชี้เฉพาะเจาะจงคำนามนั้นๆ – ใช้
this และ that กับคำนามที่เป็นเอกพจน์ –
ใช้ these และ those กับคำนามที่เป็นพหูพจน์
Possessive หรือคำแสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งคำแสดงความเป็นเจ้าของนี้ถือว่าเป็นคำคุณศัพท์
(Adjective) ประเภทหนึ่ง กฎในการใช้มีง่ายๆคือ
วางไว้ข้างหน้าคำนามเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของใคร
จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่มีปัญหาในการใช้คำแสดงความเป็นเจ้าของซึ่งในภาษาไทยนั้นไม่มีคำประเภทนี้
จะแสดงความเป็นเจ้าของได้โดยการใช้คำว่า “ของ” เติมลงด้านหน้าของคำนามหรือสรรพนามแค่นั้น เช่น “ของฉัน”
เงินของฉัน แต่ในภาษาอังกฤษ คำแสดงความเป็นเจ้าของจะแบ่งออกเป็น 2
ประเภทคือ คำที่เป็นคุณศัพท์และคำที่เป็นสรรพนาม
Quantifiers หรือคำแสดงปริมาณ
ซึ่งคำแสดงปริมาณใช้เติมด้านหน้า noun เพื่อแสดงปริมาณของ noun
นั้นๆ บางคำสามารถใช้ได้กับทั้งคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้
บางคำก็จะใช้กับ noun ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้
Numerals หรือคำบอกจำนวน
คำบอกจำนวนนั้นก็คือ จำนวนตัวเลขนั้นเอง ใช้วางไว้ด้านหน้า noun เพื่อใช้บอกจำนวนนับของสิ่งนั้นคำนำหน้า noun ประเภทนี้จะใช้กับคำนามนับได้(countable
noun)เท่านั้น เช่น He bought ten
roses.
จะเห็นได้ว่าการแบ่ง
noun ออกเป็นหลายๆกลุ่มที่มีการใช้งานโดยทั่วไปในภาษาอังกฤษนั้นจะแตกต่างกับภาษาไทยผู้ใช้จึงต้องคำนึงถึงสิ่งนี้อยู่เสมอ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพื้นฐานการเก่งไวยากรณ์ภาษาอังกฤษคือหยุดปัญหาปวดหัวเรื่องคำนาม(noun) ผู้เรียนจะต้องเข้าใจประเภทของคำนาม
แก้ปัญหาความสับสนในการเขียนหรือสะกดคำนามเฉพาะ(Proper noun) และคำนามทั่วไป(common noun) ให้ถูกต้อง
เข้าใจหน้าที่และความสำคัญของคำนาม และรู้จักคำนำหน้านาม noun หรือคำขยาย noun
เมื่อเราเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้แล้วเราก็จะเกิดความเข้าใจ สอบได้คะแนนที่ดี
และสามาถนำไปต่อยอดให้ในครั้งต่อไปได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น