สรุปสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้
การใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ
จากกการเรียนรู้ในห้องเรียนดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับ
ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ
ในโลกนี้ทุกๆย่อมมีภาษาเป็นของตัวเองทุกๆภาษาที่เกิดขึ้นย่อมมีความหมายในตัวมันเอง
และความหมายนั้นก็ย่อมแตกต่างกันไป ภาษาเป็นกริยาอาการที่แสดงออกมาแล้วสามารถทำความเข้าใจกันได้
ไม่ว่าจะเป็นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์
ส่วนภาษาในความหมายอย่างแคบนั้น หมายถึง เสียงพูดที่มนุษย์ใช้สื่อสารกันเท่านั้น
ภาษาที่เป็นธรรมชาติ
เป็นภาษาที่เกิดขึ้นจริงตามชีวิตจริง ทั้งด้านการฟัง พูดและ อ่าน
เพื่อให้มีความพร้อมในด้านการใช้ภาษาและเป็นแบบธรรมชาติที่คนเราใช้ภาษาจริงในชีวิตประจำวัน
การใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาตินั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแปลบทความภาษาอังกฤษ
ซึ่งเราเป็นคนไทยเนื้อหาที่แปลก็ต้องแปลเป็นเป็นภาษาไทย ภาษาไทยที่เป็นภาษาธรรมชาติ
ก็จะมีความหมายว่า ภาษาเขียน ภาษาพูดที่คนไทยทั่วไปนำมาใช้จริงในสังคมไทย
ทำให้ผู้ที่อ่านง่ายแปลสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย
และไม่สับสนกับความหมายของการใช้คำ
นอกจากการแปลจะต้องคำนึงถึงการใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติแล้ว
ก็ต้องยังคำนึงถึงเหตุผลอื่นๆอีกหลายๆอย่าง นั้นคือ คำ ความหมาย การสร้างคำ
และสำนวนโวหาร สิ่งเหล่านี้ตามหลักภาษาไทยเป็นเรื่องที่น่ากังวนเป็นอย่างมาก
เนื่องจากหากเราไม่รู้จัก
หรือศึกษาสิ่งเหล่านี้ดีแล้วก็จะทำให้กระบวนการแปลของเราเกิดปัญญา
แปลออกมามีความสับสน เนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากความหมายเดิม
เมื่อสื่อออกมาก็จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาผิดไปจากเดิม
ประโยคต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาษาใด
เกิดขึ้นได้นั้นก็ต้องประกอบด้วย คำ
ซึ่งเป็นหน่วยของภาษาที่สื่อถึงความหมายซึ่งประกอบด้วยพยางค์หนึ่งพยางค์หรือมากกว่า
ปกติแล้วในแต่ละคำจะมีรากศัพท์ของคำแสดงถึงความหมายและที่มาของคำนั้น
โดยการนำคำหลายคำมาประกอบกันจะทำให้เกิดวลีหรือประโยคซึ่งใช้สื่อความหมายให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นไป
และแต่ละคำนั้น
ก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันด้วยบางคำจะมีทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง
หรือบางครั้งอาจจะมีความหมายเชิงเปรียบเทียบ
ซึ่งความหมายของคำนั้นก็จะแตกต่างกันไปตามยุสมัย
บางครั้งความหมายอาจจะตรงข้ามกันเลยก็อาจจะเป็นได้ เช่นคำว่า กู
เมื่อก่อนจะใช้พูดกันทั่วไป แต่ถ้าหากพูดกันในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นคำที่หยาบ
อาจจะใช้กันในกลุ่มเพื่อนสนิท หรือบางครั้งเมื่อก่อนอาจมีความหมายที่ไม่ดีแต่ในปัจจุบันความหมายดี
เช่น เก่งบรรลัย ซึ่งมีความหมายว่า เก่งมากหรือ ใจดีเป็นบ้า มีความหมายว่า ใจดีมาก
นอกจากนี้ยังมีคำกริยาที่ทำหน้าที่ช่วยให้คำเป็นประโยคที่สมบูรณ์
คำกริยาเป็นคำที่ใช้บ่งบอกถึงการกระทำ
การปรากฏ หรือสถานะของสิ่งที่กล่าวถึง
คำกริยาอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับภาษา
ในที่นี้เป็นการสร้างคำกริยา เป็นการเสริมท้ายคำกริยาด้วยคำกริยานั้นเอง
มันไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากเพราะการทำเช่นนี้จะทำให้ความหมายนั้นชัดเจนขึ้น
โดยการนำคำกริยาเหล่านี้มาเติมส่วนท้าย เช่น ขึ้น ลง ไป มา
เป็นความหมายบอกประมาณหรือทิศทางนั้นเอง
บางครั้งมีคำนำคำหลายๆคำมาเข้าคู่กัน
การทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความหมายใหม่หรือความหมายนั้นอาจจะคงเดิมอยู่
การทำเช่นนี้เรียกว่าการเข้าคู่คำ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายแบบเช่น
คู่คำพ้องคำความหมาย คำเหล่านนั้นจะเป็นคำภาษาเดียวกัน ความหมายเดียวกัน
หรือแม้แต่ภาษาถิ่นหรือภาษาต่างประเทศ เช่น ทรัพย์สิน (สันสกฤษ และจีน) สุขสบาย
(บาลี และบาลี)
คู่คำที่มีความหมายตรงกันข้าม
ส่วนมากเมื่อนำคำเหล่านี้มาเข้ากันแล้วก็จะเกิดความหมายใหม่ขึ้นมา เช่น คนมีคนจน
หมายถึง ทุกๆ คน งานหนักงานเบา หมายถึง
งานทุกประเภท นอกจากนี้ยังมีคู่คำที่มีความหมายต่างกัน
สิ่งที่ได้ก็จะได้ความหมายใหม่แต่อย่างไรก็ตามความหมายก็ยังคงเช่นเดิมอยู่ เช่น
ลูกเมีย หมายถึง ครอบครัว หรือรถไฟ
หมายถึงรถที่เดินได้ด้วยพลังงานจากไฟหรือความร้อน
นอกจากนี้ยังมีทักษะการแปลอักอย่างหนึ่งซึ่งต้องใช้การแปลขั้นสูงในการแปล
ผู้แปลจะต้องมีความเข้าใจในเนื้อหาส่วนนี้เป็นอย่างมาก นั้นก็คือการแปลสำนวนโวหารซึ่งคำกล่าวหรือถ้อยคำคมคายสั้นๆ
ที่ผูกเข้าเป็นประโยค และมีความหมายไม่ตรงตามตัว เช่น เขียนเสือให้วัวกลัว หมายถึง
ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญ
การใช้โวหารนั้นมีด้วยกันหลายแบบความหมายไม่ชัดเจน
หรือไม่ตรงตัว ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ถ้าเราศึกษาสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้งก็จะทำให้เรารู้จักหรือคุ้นเคยกับโวหารต่างๆ
ในใช้โวหารนั้นถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ยากแต่ก็ทำให้บทความ หรือ
เนื้อหาในวรรณกรรมนั้นมีความสนุก เพิ่มความบันเทิงให้กับผู้อ่าน
แต่เมื่อใดที่ผู้อ่านไม่เข้าใจสิ่งที่ตามมานั้นก็คือ
การเข้าใจเนื้อหาที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
บางครั้งสำนวนก็จะมีการใช้คำซ้ำ
แต่จะต้องมีรูปและความหมายที่เหมือนกันในการใช้คำซ้ำนั้นจะทำให้เกิดความไพเราะ
รูปคำของเสียงที่สั้นก็จะยาวเมื่อฟังแล้วก็สละสลวยขึ้น เพื่อให้คำมีความหมายอ่อนลง
แต่จะใช้ในรูปแบบของประโยคคำสั่งเป็นการทำให้ประโยคคำสั่งดูเหมือนเป็นประโยคขอร้อง
หรืออาจจะใช้เมื่อตัวละครตัวนั้นมีอาการที่เกิดความไม่แน่ใจกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดสักอย่าง
เพื่อให้ได้คำใหม่ๆใช้
ทำให้เกิดคำที่หลากหลายไม่เน่าเบื่อ และดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น
ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึงไม่ลอกเลียนแบบใครคิด ขึ้นเองได้
และเพื่อแสดงว่ามีจำนวนมาก ปริมาณมาก หรือเป็นพหูพจน์ เช่น เด็กๆ มากินขนม แต่อย่างไรก็ตามการใช้คำซ้ำนั้นก็มีข้อเสียเช่นกัน
ซึ่งข้อเสียนั้นก็คือการใช้คำที่ฟุ่มเฟือย
และโวหารที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือโวหารภาพพจน์เป็นโวหารที่ผู้แปลต้องตระหนักถึงความสำคัญด้วยเช่นกัน
เพราะงานเขียนที่เป็นกวีภาพพจน์นั้นเป็นงานที่มีความสลับซับซ้อน ผู้แปลจะต้องอาศัยทักษะความรู้เป็นอย่างมาก
อีกทั้งผู้อ่านเองก็เช่นกันถ้าหากว่าไม่เข้าใจเกี่ยวกับโวหารก็จะทำให้ไม่เข้าใจและตามไม่ทันในส่วนของเนื้อหา
ทุกๆชาติก็จะมีโวหารที่แตกต่างกัน
และมีด้วยกันหลายประเภท นั้นคือ โวหารอุปมา การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มี
ความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า "
เหมือน " โดยต้องการที่จะชี้แจง
หรืออธิบาย พูดถึง หรือเพิ่มความสวยงามให้กับสิ่งของนั้นๆ รูปแบบของโวหารจะสั้นๆ
เป็นประโยค หรือ โคลงกลอน
อุปลักษณ์
ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบ สิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง
อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรงเหมือนอุปมา แต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัย ให้เข้าใจเอาเอง ที่สำคัญ
อุปลักษณ์จะไม่มีคำเชื่อมเหมือนอุปมา
การเปรียบเทียบเช่นนี้จะแสดงถึงความเก่งของกวี
จะใช้การใช้คำพื้นๆซึ่งนำไปสู่ความหมายใหม่ที่น่าตื่นเต้นกว่าเดิม
แต่อย่างไรก็ตามก็ยังสังเกตได้ว่ามีร่องรอยของความหมายเดิมยังคงเหลืออยู่
โวหารเย้ยหยัน เป็นการใช้คำด้วยอารมณ์ขัน
เพื่อเหน็บแนมหรือชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่อง
โดยการใช้โวหารนี้ผู้แต่งจะต้องไม่อวดฉลาดหรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือแกล้งโง่นั้นเอง
จะเป็นใช้คำพูดที่ถากถางเหน็บแนมตนเอง
ต่อมาเป็นโวหารขัดแย้งคำจะมีความหมายตรงข้ามกันต่อก็ยังคงมีความสมดุลกัน
เช่น คนสูงตำหนิตัวเอง คนต่ำตำหนิผู้อื่น
โวหารชนิดนี้เราสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Paradox ซึ่งจะเป็นการขัดแย้งกับความจริง ความคิด หรือความเชื่อ ทั่วไป
โวหารที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งแทนทั้งหมด
โวหารชนนิดนี้จะเลือกเอาแต่คุณสมบัติที่โดดเด่นของสิ่งต่างๆยกออกมากล่าวให้เห็นกันตรงๆไม่ว่าจะเป็นของใช้หรือสิ่งของต่างๆ
บางครั้งก็มีการนำคุณสมบัติที่โดดเด่นเหล่านี้มาเป็นสัญญาลักษณ์
จนกลายเป็นสามานยนาม ต่อมา โวหารบุคคลาธิษฐาน เป็นการนำสิ่งต่างๆไม่ว่าจะมีชีวิตหรือ
ไม่มีชีวิต มีพูดให้เป็นเหมือนบุคคล และบางโวหารก็จะเน้นความเห็นที่สำคัญ
มีการแสดงอารมณ์ที่ชัดเจน และรุนแรง และต้องมีการอธิบายข้อเท็จจริง
โวหารชนิดนี้เรียกว่าโวหารกล่าวเกินจริง
จากที่กล่าวมาก็จะเห็นว่าโวหารมีด้วยกันหลายชนิดสามรถเลือกเขียนได้ตามความต้องการของผู้เขียน
ซึ่งลักษณะของโวหารที่ดีนั้น ผู้เขียนต้องคำนึงถึง การใช้ภาษาที่ถูกหลัก กล่าวคือ จะต้องไม่ขัดกับหลักไวยากรณ์
ถ้าเราเขียนผิดหลักก็จะทำให้ความหมายนั้นผิดเพี้ยนไป การสื่อความหมายที่ผิดนั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
เพราะจะทำให้ผู้ที่อ่านเกิดความสับสนและเข้าใจเนื้อหาผิด
การใช้คำไม่กำกวม สำนวน คำ ประโยค
จะต้องมีความชัดเจน เพราะจะทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง
ต่อมาก็ความมีชีวิตชีวา จะทำให้เนื้อหาน่าอ่าน สนุกชวนให้ผู้อ่านอยากที่จะอ่าน
ไม่เนิบนาบ เฉื่อยชา ยืดยาด ยิ่งไปกว่านั้นความสมเหตุสมผล
ของเนื้อหาก็ถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก
เพราะจะทำให้เนื้อหาที่อ่านนั้นมีความน่าเชื่อถือ
ไม่สร้างความหลงผิดให้แก่ผู้ที่อ่าน
และ
การใช้คำพูดในเนื้อหาจะต้องมีความคมคายเฉียบแหลม หมายถึงจะต้องเป็นคำพูดที่หนักแน่น
มีการใช้คำที่ไม่ฟุ่มเฟือยแต่สามารถแฟงเนื้อหาข้อคิดในเนื้อเรื่องได้
ส่วนมากผู้เขียนจึงเลือกใช้สำนวนสุภาษิต คำพังเพยนั้นเอง
ดังนั้นการใช้ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องที่ผู้เขียน
และผู้แปลจะต้องคำนึงถึง เนื่องจากในโลกนี้ทุกๆย่อมมีภาษาเป็นของตัวเองทุกๆภาษาที่เกิดขึ้นย่อมมีความหมายในตัวมันเองผู้แปลจะต้องมั่นศึกษาหาความรู้รอบๆตัวจนเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ภาษานี้เป็นแบบธรรมชาติที่คนเราใช้ภาษาจริงในชีวิตประจำวัน เมื่อนำมาแปลแล้วก็จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจดียิ่งขึ้น
และสนุกกับเนื้อหาอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น